Puinoon Trip Blogger

สวัสดีครับทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชม Blog ของผม ก่อนอื่นผมต้องขอบอกก่อนเลยนะครับว่า จุดประสงค์ที่จัดทำ Blog นี้ขึ้นมานี้ก็เพื่อที่จะจัดเก็บและรวบรวมสิ่งต่างๆ ที่ตัวผมเองนั้นชื่นชอบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยว การถ่ายรูป การแต่งภาพ การเล่นกีต้าร์ การทำอาหาร และสิ่งต่างๆอีกมากมาย หวังว่าจะเป็นประโยชน์ กับ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หรือบุคคลทั่วไปที่สนใจและชื่นชอบในสิ่งเดียวกับที่ผมชอบ ไม่มากก็น้อย ผมหวังว่า Blog นี้ จำทำให้หลายๆคน ได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์และความรู้ไม่มากก็น้อย ผมจะพยายามหาสิ่งที่มีประโยชน์และความรู้มาให้ชมกันอีกนะครับ ขอบคุณมากครับ ..... >>>ปุยนุ่น<<<


วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สวนอาหารพิกุล ขลุง จันทบุรี

สวนอาหารพิกุล ขลุง จันทบุรี

สวนอาหาร พิกุล


   ร้านพิกุล เป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงเป็นลำดับต้นๆของ ขลุง จังหวัด จันทบุรีเลยก็ว่าได้นะครับ นักท่องเที่ยวที่ต้องการมาหาอาหารทะเลสดๆกิน ส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงร้านนี้ ร้านนี้ขายอาหารประเภทซีฟู๊ด บรรยากาศภายในร้านโปร่ง โล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก สะอาด ด้านข้างเป็นป่าโกงกาง ธรรมชาติมากๆครับ โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะไม้สวยแข็งแรง อาหารที่สั่งได้เร็ว ไม่ต้องรอนานที่สำคัญรสชาติอร่อยมากด้วยครับ ครั้งที่แล้วมากินที่ฟาร์มปูนิ่มเพราะอยากนั่งเรือออกไป เลยมองข้ามร้านนี้ไป คราวนี้ตั้งใจมากินร้านนี้โดยเฉพาะเลยครับ  ภาพบรรยากาศภายในร้านเหมาะสำหรับมากับครอบครัว จริงๆ ครับ คราวนี้เรามาดูอาหารกันบ้างครับ มาดูจานแรกกันเลยครับ ต้มยำกุ้งแชบ๊วย (น้ำข้น) รสชาติเผ็ดถึงรสต้มยำจริงๆ

บรรยากาศภายในร้าน

ต้มยำกุ้งแชบ๊วย(น้ำข้น)

  จากนั้นจานที่สองก็คือ พล่ากุ้ง (แบบสุก) ที่ร้านนี้มีพล่ากุ้งทั้งแบบสุกและดิบนะครับ ถ้าจะสั่งบอกพนักงานที่ร้านด้วย เมนูนี้ผมชอบมากเป็นพิเศษเพราะว่าเผ็ดและเปรี้ยวถึงใจจริงๆ ผักที่เสิร์ฟพร้อมพล่ากุ้งจะเป็นใจผักกาดขาวสดๆ  ที่สำคัญกุ้งยังสดอีกด้วย ไม่มีกลิ่น รสหวานทานง่าย เมนูนี้ผ่านครับ

พล่ากุ้ง

  มาดูจานที่สามกันเลยดีกว่า อาหารบ้านๆ แต่ว่ารสชาติและความกรอบไม่ธรรมดาครับ ไข่เจียวหอยนางรม ไข่เจียวหอยนางรมที่นี่ทอดได้กรอบ หอม มากๆครับ และหอยนางรมยังตัวใหญ่และสดอีกด้วย เมนูนี้ ยอมรับเลยครับว่าไม่ธรรมดา ถ้าไม่เชื่อลองสั่งดูได้เลยครับ สุดยอดจริงๆ ไข่เจียวเสิร์ฟพร้อม ซอสพริก เข้ากันจริงๆ กับข้าวร้อนๆสักจาน (ที่ร้านนี้ผมสังเกตดูนะครับ ข้าวหุงจากข้าวหอมมะลิ นิ่ม สวย หอม น่ากินจริงๆ) 

ไข่เจียวหอยนางรม

   จานที่สี่ต่อไปเลยดีกว่า จานนี้พิเศษสุดๆ ถือว่าเป็นพระเอกของมื้อนี้เลยก็ว่าได้ครับ รสชาตินี่ถูกปากผมยิ่งนักเพราะว่าผมชอบหวานๆ เมนูนี้ก็คือ ปูทะเลไข่ผัดผงกระหรี่ นั่นเอง จานนี้อาจมีราคาค่าตัวค่อนข้างจะแพงไปสักนิดประมาณ 650 บาท แต่เมื่อเทียบกับราคาปูสดๆที่ขายในท้องตลาดแล้วก็ไม่แพงเลย เพราะว่า ใช้ปูทะเลไข่ประมาณ 2 ตัวต่อ 1 จาน แถมยังอร่อยมากที่สุดอีกด้วย มีความหอมของผงกระหรี่ ความหอมและมันของไข่ปู อีกทั้งยังมีต้นหอมเพิ่มความหอมอร่อยอีกด้วย จานนี้คงเป็นที่ชื่นชอบของคนหลายคนก็ว่าได้เพราะว่าจากการที่ผมเดินผ่านโต๊ะอื่นๆ ก็มีเมนูนี้อยู่ด้วยหลายโต๊ะเช่นกัน ผมถือว่าจานนี้ผมชอบที่สุดในมื้อนี้ก็ว่าได้  สามผ่านเลยครับ ..อิอิ

ปูทะเลไข่ผัดผงกระหรี่

   จานที่ห้า เมนูนี้หลายๆ คนที่ชอบกินปูแต่ไม่ชอบแกะต้องสั่งครับ เมนูนี้คือ กรรเชียงปูม้า   แต่ผมว่าเมนูนี้ก็คงไม่ต่างจากร้านอื่นๆครับ แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือน้ำจิ้ม ร้านนี้ไม่ได้ใช้น้ำจิ้มแบบขวดมาเทใส่ถ้วยให้เรากินนะครับ น้ำจิ้มปูร้านนี้ก็คือน้ำจิ้มซีฟู๊ด ธรรมดาที่ใส่ พริกขี้หนูสด กระเทียม มะนาว เกลือ แต่ที่สำคัญคือใช้มะนาวแท้ๆ ครับ (ผมคิดว่าร้านนี้ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆดีครับ แม้กระทั่งน้ำจิ้มซีฟู๊ด หรือ น้ำปลาพริก ดูสดใหม่ สะอาด) 


กรรเชียงปูม้า

   จานต่อไปกันเลยดีกว่าครับ เมนูนี้ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบแต่ว่าผมกินแบบทอดมาเมื่อวานแล้ว วันนี้เลยอยากกินแบบนึ่งบ้างครับ ปลากระพงนึ่งบ๊วย เมนูนี้ผมว่าไม่ค่อยมีรสบ๊วยเท่าไหร่นะครับ ผมรู้สึกเฉยๆ แต่มีดีอยู่ที่ว่า ปลากระพงที่เอามาทำนั้นสดจริงๆ เนื้อนิ่มมาก ที่สดจริงเพราะว่าเห็นพี่เค้าตักจากในบ่อหน้าร้านกันเห็นๆ ต่อหน้าต่อตาเลย คงบอกว่าสดอย่างเดียวไม่ได้แล้ว คงต้องบอกว่าปลาเป็นๆ(ถ้าใครที่ชอบกินปลานิ่มๆจืดๆไม่เผ็ดก็ต้องลองเมนูนี้เลย)

ปลากระพงนึ่งบ๊วย

   จานสุดท้าย ว่ากันด้วยเรื่องของกุ้งอีกแล้วกัน แต่ว่าคราวนี้ไม่ใช่กุ้งแชบ๊วยแล้วนะครับ เป็นกุ้งกุลาดำตัวใหญ่ๆครับ    ตอนแรกคิดอยู่ตั้งนานไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับมันดี เลยเป็นเมนูสุดท้าย สรุปได้ว่าเป็น กุ้งกุลาดำอบเกลือครับ ตัวใหญ่ๆ เหนียวๆเคี้ยวมัน หนึบๆ เค็มนิดๆหอมใบโหระพา จานนี้ราคาพอประมาณครับ 450 บาท กุ้งประมาณ 6-8 ตัว สรุปว่าคุ้มราคาครับ

กุ้งกุลาดำอบเกลือ

  พอสรุปได้ว่าสวนอาหารพิกุล ขลุง นี้ โดยส่วนตัวรวมๆแล้ว อาหารรสชาติดีเลยทีเดียวครับ บรรยากาศใช้ได้พอประมาณ ไม่เสียที่เป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงมานาน ผมชอบมากครับไม่ผิดหวังกับการที่ได้มาร้านนี้เลย

  การเดินทาง : จากตัวเมืองจันทบุรีมุ่งหน้าไปทางขลุง ถนนสุขุมวิท เมื่อถึงแยกขลุงให้เลี้ยวขวาเข้าทางตลาดขลุง จากนั้นจะเป็นทางเล็กๆ  เข้าไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร หรือ ทางเดียวกับท่าเรือขลุง ที่จะนั่งเรือไปฟาร์มปูนิ่ม เมื่อเลี้ยวเข้าไปจะมีป้ายบอกว่า ร้านอาหารทะเล ก็ให้ไปตามป้ายเลย
จากตัว เมืองจันทบุรี มุ่งหน้ามาทางท่าเทียบเรือขลุง ตรงมาจะเจอร้านพิกุลโภชนาขลุง อยู่บริเวณท่าเทียบเรือขลุง - See more at: http://eat.edtguide.com/62193_Pikul-Phochana-%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B2-%E0%B8%82%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%87-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5-%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3#sthash.DHVVr3Cs.dpuf
จากตัว เมืองจันทบุรี มุ่งหน้ามาทางท่าเทียบเรือขลุง ตรงมาจะเจอร้านพิกุลโภชนาขลุง อยู่บริเวณท่าเทียบเรือขลุง - See more at: http://eat.edtguide.com/62193_Pikul-Phochana-%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B2-%E0%B8%82%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%87-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5-%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3#sthash.DHVVr3Cs.dpuf

รสชาติอาหาร  :  9.25/10
บรรยากาศร้านอาหาร  :  8.25/10
ราคาอาหาร  : 7.5/10
ราคาเมื่อเทียบกับคุณภาพ  :  8.5/10
ความสะอาดของอาหารและร้าน  :  8.5/10
การบริการของพนักงาน  :  9.25/10




วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ลองชิมราดหน้า มาม่า


ราดหน้า


        ราดหน้า เป็นก๋วยเตี๋ยวชนิดหนึ่ง ที่ทำโดยการใช้เส้นลงไปผัดกับน้ำมันอ่อน ๆ ก่อน แล้วพักไว้ น้ำที่ใช้ราด เป็นน้ำต้มกระดูกผสมกับแป้งมันมีความข้นเหนียว เนื้อสัตว์นิยมใช้ เนื้อหมู และ กุ้ง หรือเนื้อสัตว์อื่น ๆ ซึ่งถ้าเป็นเนื้อหมูจะนิยมหมักกับกระเทียมก่อน เพื่อให้เหนียวนุ่ม ผักนิยมใช้ ผักคะน้า หรือจะใช้ผักอย่างอื่น เช่น ผักกวางตุ้ง หรือ ผักกาดขาว ก็ได้ เส้นที่ใช้ทำราดหน้า มีหลายเส้น โดยมาก หากเป็นเส้นใหญ่ จะผัดกับน้ำมันและซีอิ๊วดำก่อน นอกจากนี้ยังมีหมี่ขาว หมี่เหลือง ซึ่งโดยมากจะเป็นเส้นทอดกรอบ นอกจากนี้แล้ว ราดหน้าบางครั้งยังสามารถใส่ไข่ลงไปได้ด้วย อาจจะผสมลงไปในน้ำราดหน้า หรือทอดแยกออกมาโปะหน้าต่างหากแบบไข่เจียวหรือไข่ดาว ก็ได้


ราดหน้าคณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล


     ราดหน้าที่เข้ามาแพร่หลายในไทยได้รับอิทธิพลจากอาหารจีน เริ่มนำเข้ามาขายโดยชาวจีนโดยเฉพาะชาวจีนแต้จิ๋ว ราดหน้ายุคแรกๆ ห่อใบตองขาย ใส่ผักกวางตุ้งและหน่อไม้ ราดน้ำราดแต่น้อย ต่อมาจึงมีการปรับรูปแบบไปต่างๆกัน ราดหน้าที่แพร่หลายในไทยนั้น มีที่มาจากราดหน้าของจีน 3 แหล่งดังนี้
1.ราดหน้าแบบฮ่องกง น้ำราดหน้าไม่ใส่เต้าเจี้ยว ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย
2.ราดหน้าแบบกวางตุ้ง น้ำราดหน้าใส่เต้าเจี้ยว กระเทียม ใช้ผักคะน้าเป็นหลัก
3.ราดหน้าแบบแต้จิ๋ว น้ำราดสีเข้ม ใส่เต้าเจี้ยวเป็นเม็ด ไม่ใส่น้ำมันหอยและใส่คะน้าผัดไปกับน้ำราดด้วย

เส้นหมี่ราดหน้า มาม่า

เส้นหมี่ราดหน้ากึ่งสำเร็จรูป มาม่า

    เส้นหมี่ราดหน้า มาม่านี้ มีขายเฉพาะที่ เซเว่น-อีเลฟเว่น นะครับ ราคาห่อละ 12 บาท เมื่อทำเสร็จแล้วจะมีรสชาติและหน้าตาคล้ายกับราดหน้าปกติมากเลยทีเดียว ถ้าใส่ คะน้า และ หมูหมักแล้ว แยกกันแทบไม่ออกเลยครับ คล้ายราดหน้าปกติมากประมาณ 80-90 % เลยทีเดียว

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เที่ยวนครนายก

สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดนครนายก

อุทยานพระพิฆเนศ นครนายก

พระพิฆเนศ นครนายก องค์พระพิฆเนศเทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ขนาดใหญ่ที่สุดของเมืองไทย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ของเมืองนครนายก นอกจากมีพระพิฆเนศองค์ใหญ่ที่สุดแล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ 108 ปาง ให้ชมและสักการะบูชา นอกจากนั้นยังมีพระบรมสารีริกธาตุจาก 9ประเทศ ให้เราได้บูชาเพื่อเป็นสิริมงคลอีกด้วยอุทยานพระพิฆเนศ ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย ที่เกิดขึ้นมาด้วยพลังศรัทธาจากประชาชน เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ของจังหวัดนครนายก เป็นแหล่งรวมขององค์พระพิฆเนศปางต่างๆ มากมาย เป็นแหล่งศึกษาหาความรู้นอกจากนั้นยังเป็นสถานที่สำหรับปฏิบัติธรรมเพื่อ ทำนุบำรุงศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป มีคุณประโยชน์ในหลายๆ ด้าน  


อุทยานพระพิฆเนศ นครนายก

การเดินทาง หากขับรถมุ่งตรงไปเขื่อนขุนด่าน พระพิฆเนศจะอยู่จะเลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกประชาเกษม ก่อนถึงเขื่อนนะครับมีป้ายบอกอันใหญ่ รับรองไม่หลง


------------------------------------------------------------------------------


เขื่อนขุนด่านปราการชล

เขื่อนขุนด่านปราการชล ชื่อเดิมเรียกว่าเขื่อนคลองท่าด่านเป็นเขื่อนคอนกรีตอัดบดยาวที่สุดในประเทศไทยและในโลก ตั้งอยู่ที่บ้านท่าด่าน ตำบลหินตั้ง อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก สร้างขึ้นตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเก็บกักน้ำในช่วงหน้าฝนไว้ในหน้าแล้ง และควบคุมไม่ให้เกิดน้ำท่วมบ้านเรือนราษฎร ไร่นาและพื้นที่การเกษตรในหน้าฝน โดยสร้างครอบฝายท่าด่านเดิม


เขื่อนขุนด่านปราการชล  

 ตัวเขื่อนขุนด่านปราการชลประกอบด้วยเขื่อนหลักและเขื่อนรองสร้างด้วยคอนกรีตบดอัด ปัจจุบันเป็น เขื่อนคอนกรีตบดอัดที่มีความยาวที่สุดในโลก มีความยาวรวม 2,720 เมตร ความสูง (สูงสุด) 93 เมตร รับน้ำที่ไหลจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ผ่านน้ำตกเหวนรกลงสู่อ่างเก็บน้ำ มีความจุ 224 ล้าน ลบ.ม. โดยทำให้มีน้ำในการทำเกษตรกรรม การอุปโภคบริโภค แก้ปัญหาดินเปรี้ยว เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา และบรรเทาอุทกภัย เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ ของนครนายก นักท่องเที่ยวสามารถชมอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้จากบริเวณสันเขื่อน จะเห็นทิวทัศน์ด้านหน้าเขื่อน และชมทิวทัศน์เมืองนครนายกด้านหลังเขื่อน ในอนาคตมีโครงการจะสร้างแก่งเทียมเพื่อการท่องเที่ยวและกีฬา และเป็นสนามสลาลอมนานาชาติ ซึ่งจะเป็นแห่งเดียวในภูมิภาคนี้ หากก่อสร้างแก่งเทียมแล้วเสร็จ จะสร้างกิจกรรมท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดนครนายกเพิ่มขึ้น


เขื่อนขุนด่านปราการชล

 เขื่อนขุนด่านปราการชลเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาชมวิวเหนือสันเขื่อน สามารถมองเห็นตัวเมืองนครนายกและอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้ที่สันเขื่อน นอกจากนี้ยังสามารถเช่าเรือหางยาวเพื่อชมน้ำตกที่อยู่ลึกเข้าไปในอ่างเก็บ น้ำของเขื่อนได้


 ภาพบรรยากาศจากสันเขื่อน




เดินทางโดยรถยนต์มายังตัวเมืองนครนายกโดยอาจใช้ถนนสายรังสิต-นครนายก(ทาง หลวงหมายเลข 305) หรืออาจใช้ถนนเส้นเก่าคือถนนสุวรรณศร (ทางหลวงหมายเลข 33) ซึ่งจะอ้อมกว่า จนถึงตัวเมืองนครนายกให้ใช้เส้นทางเดียวกับไปน้ำตกนางรอง (ทางหลวงหมายเลข 3049) ผ่านอุทยานวังตะไคร้และเลี้ยวขวาเข้าถนนสู่ตัวเขื่อน

รถโดยสารประจำทาง จากกรุงเทพฯ–นครนายก มีบริการรถโดยสารประจำทางทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศ ออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต 2) ทุกวัน

รถตู้ กรุงเทพ-นครนายก-เขื่อนขุนด่าน โดยสามารถขึ้นที่ [1] อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ [2] ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต [3] หน้าโรงพยาบาลนครนายก (ฝั่งโรงพยาบาล)


--------------------------------------------------------------------------------------------


กิจกรรมล่องแก่งนครนายก

วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ หากเพื่อน ๆ ต้องการหลบหนีจากความวุ่นวายของเมืองกรุง ไปสู่โลกในมุมใหม่ที่เงียบสงบ แวดล้อมด้วยภูเขาเขียว ๆ  น้ำตกสวย ๆ แถมยังซุกซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ภายใต้ความนิ่ง กระปุกท่องเที่ยวขอแนะนำ "นครนายก" เมืองที่มีขนาดไม่ใหญ่ เหมาะกับการท่องเที่ยวพักผ่อน อีกทั้งยังไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก แต่อุดมไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย โดยเฉพาะการไปล่องแก่งมันส์ ๆ เพิ่มความท้าทายให้กับตัวเองที่ "ล่องแก่งแม่น้ำนครนายก" 


 ภาพกิจกรรมล่องแก่ง

 แม่น้ำนครนายก มีต้นกำเนิดจาก อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เกิดจากลำธารหลายสายมารวมตัวกัน เช่น คลองตะไคร้ คลองนางรอง มารวมตัวกันเป็นแม่น้ำไหลผ่านจังหวัดนครนายก โดยจุดเริ่มต้นของการล่องแก่งแม่น้ำนครนายกอยู่ที่บริเวณเชิงสะพานท่าด่าน หลังเขื่อนคลองท่าด่าน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และจะไปสิ้นสุดการล่องที่บริเวณบ้านวังยาว สำหรับการล่องแก่งที่แม่น้ำนครนายก มีระดับความยากและง่ายตั้งแต่ระดับ 3-5 สร้างความสนุกได้ทุกเพศทุกวัย ตลอดทั้งปี (กระแสน้ำจะไหลแรงในฤดูฝนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม – ตุลาคม) โดยจุดเริ่มต้นผจญภัยการล่องแก่งแม่น้ำนครนายกอยู่บริเวณเชิงสะพานท่าด่าน เลาะเลี้ยวไปตามลำน้ำนครนายก ในระดับความแรงของสายน้ำที่ 1-3 ผ่านแก่งต่าง ๆ ที่สร้างความสนุกตื่นเต้นตลอดระยะทางในการล่องแก่งประมาณ 2 ชั่วโมง


ภาพกิจกรรมล่องแก่ง


น้ำตกแก่งสามชั้น

    ส่วนแก่งต่าง ๆ ที่จะล่องผ่าน ได้แก่ แก่งโขดคุ้ง มีลักษณะเป็นโขดหินโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำในช่วงฤดูร้อน แต่จะจมลงไปในน้ำยามฤดูฝน, เกาะแก่ง มีลักษณะเช่นเดียวกันกับแก่งโขดคุ้ง ถ้าในช่วงฤดูร้อนจะมองเห็นเกาะแก่งนี้ แต่ถ้าอยู่ในช่วงฤดูฝน กระแสน้ำจะท่วมเกาะแก่งนี้จนไม่สามารถมองเห็นได้
 และแก่งสุดท้ายที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของการล่องแก่งแห่งนี้ คือ แก่งหินสามชั้น เพราะก่อนจะถึงตัวแก่งสามชั้นระยะทางไม่กี่เมตรจะถึงโค้งหักศอกก่อน ซึ่งนักล่องแก่งควรระมัดระวังตัวและพยายามบังคับฝีพายดี ๆ เพราะจากนี้จะได้พบกับแก่งหินสามชั้นที่มีลักษณะเทลาดเอียงลงมาเป็นขั้นบันได ระยะทางยาวประมาณ 50 เมตร กระแสน้ำจะไหลวนลงมากระทบกับโขดหินน้อยใหญ่ที่จมอยู่ใต้น้ำ จนเกิดเป็นลูกคลื่นม้วนตัวเข้าหาหินสูงประมาณหนึ่งเมตร เป็นจุดท้าทายของนักพายเรือคายัคและแคนู ซึ่งจะมาประลองกำลังความสามารถกันที่บริเวณแก่งสามชั้นแห่งนี้



--------------------------------------------------------------------------------------------



น้ำตกต้นน้ำ (น้ำตกสวนลุงเปลี่ยน) นครนายก

     น้ำตกสวนลุงเปลี่ยนนี้เป็นน้ำตกต้นน้ำ ของวังตะไคร้ ซึ่งรับน้ำมาจากคลองมะเดื่ออีกที น้ำตกนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครและภาพยนต์หลายเรื่อง มีความเป็นส่วนตัว สามารถนำอาหารและเครื่องดื่มเข้าไปรับประทานได้ทำอาหารได้ ภายในน้ำตกมีบ้านพัก1หลังไว้บริการนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักที่นั่นเลย เป็นบ้านพักของยายคนที่ดูแลน้ำตก (แต่แมลงค่อนข้างเยอะไม่เหมาะสำหรับเด็กเล็กๆ) ที่บ้านยายมีห่วงยางไว้บริการเช่าด้วยครับ ไม่ต้องเตรียมไปครับ ช่วงฤดูฝนน้ำจะเยอะหน่อยเล่นสนุกเลยครับประมาณเดือนกันยายนถึงตุลาคม  แต่ช่วงฤดูแล้งน้ำจะน้อยแต่ก็พอสามารถเล่นได้


 น้ำตกต้นน้ำ สวนลุงเปลี่ยน

บรรยากาศภายในน้ำตกสวนลุงเปลี่ยนร่มเย็น ร่มรื่น ชุ่มชื้นไปด้วยต้นไม้ที่ปกคลุมน้ำตกและความชื้นจากป่าไม้ โดนรอบๆ จะเป็นบริเวณป่าทั้งหมด มีหินก้อนโตให้เราสามารถนั่งเล่นนั่งกินอาหารและเครื่องดื่ม ถ้าต้องไม่ต้องการนั่งหินหรือปูเสื่อ ยายก็มีแคร่ไม้ไผ่ไว้บริการให้เราอีกด้วยครับ


น้ำตกต้นน้ำ สวนลุงเปลี่ยน


น้ำตกต้นน้ำ สวนลุงเปลี่ยน


น้ำตกสวนลุงเปลี่ยนนี้น้ำจะใสสะอาดมากสีน้ำใสจนเขียวเลยครับ   อัตราค่าบริการท่านละ 20 บาท ค่าเช่าห่วงยางห่งละ 40 บาท และค่าแคร่ไม้ไผ่ 60 บาท ครับ จ่ายกับยายที่หน้าบ้านยายได้เลยครับ แค่นี้ก็มีความสุขกับธรรมชาติและสายน้ำที่ใสเขียวเย็นได้แล้ว


------------------------------------------------------------------------------------------- 


 คลองมะเดื่อ นครนายก

  เนื่องจากคลองมะเดื่อถูกค้นพบอย่างเป็นทางการเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา    โดยกลุ่มออฟโรดกลุ่มนึงเข้าไปบุกเบิกเส้นทางออกมาสู่สายตาสาธารณะชน    เมื่อข้อมูลถูกเปิดเผยขึ้น   หลังจากนั้นกลุ่มต่าง ๆ ก็พยายามเข้าเปิดเส้นทางที่นี่กัน  นับเป็นแหล่งสวรรค์ใกล้กรุงเทพที่สุด  ทำให้บรรดาขาลุยต่าง ๆ ต้องนัดกันมาเยือนยามหน้าฝนมาถึง    ถ้าฝนยิ่งตกหนักมากเท่าไหร่กระแสน้ำก็ไหลแรงมากขึ้นเท่านั้นบรรดารถออฟโรดขาลุยก็ยิ่งทะลักทะล้นบุกเข้าไปเรียกว่าป่าแตกกันเลยทีเดียว   เพื่อนัดกันมาพังรถกันที่ คลอง 5  ที่นี่เป็นที่เงียบสงบ เต็มไปด้วยสายน้ำ และเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำนครนายกและเป็นต้นธารน้ำตกหลายแห่ง   สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปผู้ที่มาเยือนนครนายกจะนึกถึง วังตะไคร้ นางรอง สาริกา  เขื่อนขุนด่านปราการชลในการมาท่องเที่ยว  ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมายโดยเฉพาะหน้าฝนแบบนี้วันหยุดเสาร์อาทิตย์ รถบัส  รถ 2 แถว จะเข้าไปเปิดเพลงดังกระหึ่มน้ำตกวังตระไคร้ สร้างความวุ่นวายแต่สำหรับรถ 4wd  ที่วิ่งเข้ามาคลองมะเดื่อที่นี่กัน เพราะสายน้ำสวยงามกว่า  สะอาดกว่า   มีสายน้ำหลายสายให้เลือกเล่น    มีที่พักผ่นอและบ้านพักให้เป็นสังคมสังสรรค์ของชาวออฟโรด เท่านั้น 


คลองมะเดื่อ นครนายก 

คลองมะเดื่อคลองสอง

   คลองมะเดื่อคลองสอง เป็นแหล่งน้ำกว้างที่มีน้ำไหลผ่านสามารถลงเล่นน้ำได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่น้ำใสสะอาด บริเวณนี้จะมีบ้านพักด้วยนะครับ จากการไปสอบถามประมาณหลังละ 700 บาท/คืน บริเวณนี้จะมีร้านอาหาร ร้านขายผักผลไม้ของชาวบ้านที่เก็บจากป่าหรือชาวบ้านปลูกเอง สามารถนำอาหารเครื่องดื่มและทำอาหารกินกันได้ริมน้ำตกเลย ถ้ามีโต๊ะเก้าอี้เตรียมไปด้วยก็ดีนะครับ เพราะว่านำไปตั้งในน้ำตกได้บรรยากาศไปอีกแบบ นั่งกินแบบเท้าแช่น้ำคลาสสิคสุดๆ  บริเวณนี้จะเหมาะสำหรับเล่นน้ำที่สุดแล้วครับ


คลองมะเดื่อช่วงฤดูฝน

    การเดินทางเข้าไปคลองมะเดื่อ จากตัวเมืองนครนายกให้ไปทางป้ายเขื่อนขุนด่านปราการชลเลยครับ แต่ว่าอยู่ก่อนถึงเขื่อนประมาณ 1.5 กิโลเมตร จากสามแยกสาริกาให้เลี้ยวขวามาทางเขื่อนให้สังเกตเซเว่น-อีเลฟเว่น ที่ 2 ตรงนั้นจะเป็นแหล่งชุมชนมีร้านค้า,ร้านอาหารมากมาย ซอยทางเข้าจะเป็นซอยเล็กๆทางซ้ายมือติดกับโรงเรียนวัดบ้านดง ให้ตรงเข้าไปเรื่อยๆตามซอยจะผ่านวัดบ้านดงให้ตรงเข้าไปจนถึงสามแยกให้เลี้ยวขวาจากนั้นตรงไปตลอดตามเส้นทางประมาณ 3-4 กิโลเมตร ก็จะพบกับน้ำตกคลองมะเดื่อครับ  

------------------------------------------------------------------------------------------------

  

 อุทยานวังตะไคร้

 

        อุทยาน วังตะไคร้ เป็นอุทยานที่ได้รับการตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้ประดับนานาพันธุ์ ในเนื้อที่ 1,500 ไร่มีถนนให้รยนต์วิ่งเข้าชมในบริเวณได้ เปิดรับนักท่องเที่ยวทั่วไปทั้งประเภทเช้าไปเย็นกลับ และประเภทค้างแรมค่าผ่านประตู (ตั้งแต่ 1 ก.ย.46)

- นักท่องเที่ยวเดินเท้าคนละ 10 บาท
- รถทุกประเภท คันละ 150 บาท (ผู้โดยสารเกิน 8 คน คิดเพิ่มคนละ 10 บาท)
- สำหรับรถมอเตอร์ไซด์ ต้องจอดไว้บริเวณด้านหน้าทางเข้า ชำระค่าจอดรถ 10 บาท และค่าผ่านประตูเข้าวังตะไคร้ คนละ 10 บาท


วังตะไคร้


          วังตะไคร้หรือจุมภฏ – พันธุ์ทิพย์อุทยาน  เป็นแหล่งที่สวยงามแห่งหนึ่งในประเทศไทย อยู่ห่างจากกรุงเทพฯประมาณ 120 กิโลเมตร หรือห่างจากตัวจังหวัดนครนายกประมาณ 16 กิโลเมตร มวลพฤกษชาติ พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับภายในอุทยานแห่งนี้จะออกดอกสะพรั่งตัดกับท้องฟ้าสี น้ำเงินทำให้เกิดทัศนียภาพงดงามทุกฤดูกาลโดยเฉพาะในฤดูฝน นอกจากนั้น ยังมีพันธุ์ไม้ นานาชนิด อุทยานวังตะไคร้จึงเป็นดินแดนที่มีเสน่ห์แห่งความงามตามธรรมชาติพื้นดินเป็น ที่ลาดเนิน สูง ต่ำ ตามธรรมชาติตัดกับท้องฟ้าสวยงามมากนับจากปี พ.ศ. 2495 ที่พลตรีพระจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต และหม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์ บริพัตร ทั้งสองท่านสนใจในธรรมชาติได้เสด็จมาท่องเที่ยวได้ซื้อที่ดินและได้ปลูกบ้าน หลังเล็ก ๆ ไว้หลังหนึ่งใกล้ ๆ น้ำตกสาริกา ปัจจุบันได้ยกให้เป็นสมบัติของสถานีอนามัยต่อมาได้พยายามแสวงหาสถานที่เพื่อ สร้างตำหนักและอุทยานในชนบทสำหรับพักผ่อนพระอิริยาบถ ในที่สุดได้พบสถานที่ถูกใจ จึงได้ซื้อกรรมสิทธิ์ที่ดินจากชาวบ้าน ที่ครอบครองอยู่บริเวณที่เรียกกันว่า วังตะไคร้ซึ่งเป็นชื่อดั้งเดิมที่ชาวบ้านเรียกกัน มานาน แล้วเนื่องจากลักษณะภูมิประเทศตอนหนึ่งมีลำธารน้ำไหลมาสงบนิ่งอยู่เป็น วังน้ำกว้างบริเวณนี้มีความงดงามตามธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของลำธาร 2 ลำธารลำธารหนึ่งชื่อคลองมะเดื่อจากน้ำตกเหวกระถินกับอีกลำธารหนึ่งชื่อคลอง ตะเคียน จากน้ำตกแม่ปล้อง ลำธารทั้ง 2 นี้ไหลมาบรรจบกันเป็นธารเดียว มีแอ่งน้ำขัง เป็นวังน้ำอยู่เป็นตอน ๆ ไหลลงสู่แม่น้ำนครนายกและมีต้นตะไคร้น้ำตะไคร้หางนาค นับเป็นพันธุ์ไม้น้ำที่ชอบขึ้นอยู่ตามห้วยลำธารทั่วไป เป็นต้นไม้ที่เหนียวมากมีก้านสีดำและมีดอกสีชมพูน่ารักมาก บริเวณวังตะไคร้นี้เดิมมีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ ต่อมาได้ซื้อกรรมสิทธิ์ที่ดินจากผู้อื่นขยายตัวเป็นสวนพฤกษชาติ มีเนื้อที่ประมาณ1,000 ไร่เนื่องจากวังตะไคร้นี้เป็นด้านที่รับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ระหว่างเดือน กรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม จึงทำให้มีฝนตกชุกหุบเขาบริเวณนี้จึงมีพรรณไม้ใหญ่น้อยมากมาย ลำธารน้ำจะมีน้ำเต็มฝั่งไหลเชี่ยวจัด จึงเป็นที่เล่นกีฬาล่องแก่งด้วยแพยาง หรือชูชีพกันอย่างสนุกสนานพ.ศ.2497 ได้มีการถางป่าปรับพื้นที่บางส่วนพร้อมกับสร้างตำหนักเป็นที่ประทับพักผ่อน ส่วนพระองค์และญาติมิตร มีผู้มาชมสถานที่นี้บ้างเป็นครั้งคราว ท่านเจ้าของสถานที่ได้รวบรวมพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศฝากซื้อพันธุ์บ้างจากการสั่งซื้อบ้าง แลกเปลี่ยนกับนักเล่นต้นไม้ด้วยกันบ้าง และขยายพันธุ์ที่นี่ ด้วยเจตนาจะให้เป็นสวนพฤกชาติอันแท้จริงและเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของ ประชาชน การขยายบริเวณวังตะไคร้ทำกันอย่างยากลำบาก กว่าจะเป็นอย่างที่เห็นขณะนี้ต้อง เพิ่มคนงานสั่งรถแทรกเตอร์ไว้ใช้งาน ทำเขื่อนเพื่อป้องกันน้ำท่วมยามฝนตกหนักต้องขุดต้นไม้บางชนิดที่ไม่จำเป็น ออกไปปราบต้นอ้อ และหญ้าคา ปลูกหญ้านวลน้อยให้เป็นสนามหญ้าอันเขียวสด ประดับด้วยไม้ดอก ไม้ใบนานาชนิดปลูกเป็นหมู่บ้างเดี่ยวบ้าง เป็นไม้ยืนต้นพุ่มใหญ่ พุ่มกลาง พุ่มเตี้ยมีไม้ล้มลุกทั้งไทยและเทศโดยรักษาสภาพธรรมชาติเดิมไว้อย่างสวยงาม มีขุนเขาสูงตระหง่านอยู่เป็นแนวเบื้องหลังนับเป็นอุทยานที่ตั้งใจสร้างขึ้น จากความฝันของคุณท่านซึ่งมีมากว่า 40 ปี ให้เป็นความจริงขึ้นมา หลังจาก พ.ศ. 2502 อันเป็นปีที่เสด็จในกรมฯ สิ้นพระชนม์ คุณท่านได้ปรับปรุงสถานที่นี้ให้งดงามยิ่งขึ้นเพื่อให้เป็นอนุสรณ์แก่ พระองค์ท่าน คุณท่านได้เพิ่มความพยายามทั้งกำลังใจ กำลังทรัพย์ และเวลา ขยายงานที่อุทยานแห่งนี้ตลอดมาเพื่อให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจอันถาวร สร้างความสดชื่น สนุกสนานรื่นเริงสร้างเป็นสวนพฤกษชาติพร้อมทั้งให้ความรู้ทางพฤกษศาสตร์ เนื่องจากมี พรรณไม้ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศนำมารวบรวมไว้ เพื่อให้เป็นที่ศึกษาหาความรู้ด้านนี้ นอกจากนี้คุณท่านยังได้จ้างผู้เชียวชาญจากกรุงเทพมหานครเข้าไปร่วมงานการจัด สถานที่ให้เป็นสวนสาธารณะอย่างแท้จริงอีกด้วย พ.ศ. 2504 จึงเปิดให้ประชาชนเข้าชม อุทยานวังตะไคร้ นับเป็นสวนพฤกษศาสตร์ ที่มี ไม้ดอกไม้ประดับสวยงามปัจจุบันอุทยานวังตะไคร้ หรือจุมภฏ - พันธุ์ทิพย์อุทยาน หรือสวนพฤกษชาติวังตะไคร้เแห่งนี้ เป็นสมบัติของมูลนิธิจุมภฏ - พันธุ์ทิพย์ บริหารโดยคณะกรรมการ บริหารของมูลนิธิฯเพื่อให้เป็นไปตามตราสารของมูลนิธิฯในอันที่จะให้เป็นที่ พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน และเป็นที่ศึกษาหาความรู้ทางพฤกษศาสตร์ที่มีความสวยงามมีไม้ประดับ สวนผลไม้ สวนดอกไม้สวนปาล์ม สวนต้นไม้ในวรรณคดี สวนไม้ผลป่า สวนป่า และสวนสมุนไพร ทั้งในประเทศและต่างประเทศเกือบทั่วโลกนับร้อยชนิด นับเป็นที่เชิดหน้าชูตาประเทศไทยไปอีกนาน แสนนานประกาศ: ขอเปลี่ยนแปลงค่าเข้าชม จุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ อุทยานวังตะไคร้ วังตะไคร้มีความจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากทุกท่านในการปรับอัตราค่าผ่านประ ตูวังตะไคร้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งยังคงเป็นอัตราที่ต่ำกว่าสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ทั้งนี้เพื่อให้มูลนิธิฯ สามารถพัฒนาวังตะไคร้อย่างต่อเนื่องและมอบสิ่งที่ดียิ่งขึ้นตอบแทนคืนสู่ผู้ ที่รักและอุปการะคุณต่อวังตะไคร้โดยกำหนดให้อัตราค่าผ่านประตูใหม่ ซึ่งจะเริ่มใช้ใน สิงหาคมพ.ศ. 2552

- นักท่องเที่ยวเดินเท้า คนละ 10 บาท
- รถคันละ 150 บาท

หมายเหตุ ถ้าผู้โดยสารเกิน 8 คน คิดเพิ่มตามจำนวนคนๆ ละ 10 บาทรายได้ทุกบาททุกสตางค์ เราจะนำไปใช้เพื่อพัฒนาวังตะไคร้ หรือเพื่อทำสาธารณประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ จุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องทุนการศึกษาและการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม รายได้ทุก บาททุกสตางค์ที่มาจากท่าน เราจะคืนสู่สังคมมูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ และอุทยานวังตะไคร้ ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความอุปการะ และความสนับสนุนด้วยดีตลอดมา

------------------------------------------------------------------------------------------- 

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

แขกร้านลาบ

แขกร้านลาบ

(ร้านน้องแต้ว)

หน้าร้านแขกร้านลาบ

    แขกร้านลาบหรือร้านน้องแต้วนี้เป็นร้านอาหารประเภทอาหารอีสาน เช่น ลาบ ส้มตำ จิ้มจุ่ม และอื่นๆ  เปิดมานานมากกว่า 10 ปีแล้วครับ ร้านตั้งอยู่บริเวณก่อนถึงแยกอุรุพงษ์ ถ้ามาจากแยกศรีอยุธยาให้ตรงมาเรื่อยๆจนถึงทางรถไฟ ข้ามทางรถไฟให้สังเกตุทางซ้ายมือเห็นป้ายรถประจำทาง แต่ร้านจะอยู่เลยป้ายรถประจำทางไปอีกประมาณ 100 เมตรก็จะถึงร้านเลย สังเกตุได้ง่ายเพราะร้านจะอยู่ติดกับถนนเลยครับ

ภาพบริเวณหน้าร้าน


    ร้านพี่แขกนี้จะมีด้านในร้านและด้านหน้าร้าน ด้านในร้านจะมีโต๊ะประมาณ  8 โต๊ะ ด้านนอกร้านจะมีโต๊ะประมาณ 10-12 โต๊ะ ครับ (ร้านนี้มีห้องน้ำ1 ห้อง โถปัสสาวะ 1 โถครับ)  ร้านเปิดประมาณ 17.00 น. ครับ แต่ว่าจะมีแต่อาหารประเภทปิ้งย่างและทอดนะครับ เพราะว่าพี่แขกกับภรรยายังไม่มาพี่แขกและภรรยาจะมาตอนเวลาประมาณ 17.30 น. อาหารจะแบ่งการทำอย่างเป็นสัดส่วนมากครับ คือ พี่คนที่อยู่หน้าเตาก็จะทำหน้าที่ปิ้ง , ย่าง , ทอด ทุกอย่างเลย (พี่คนนี้จะมาก่อนมาเปิดร้าน) ส่วนภรรยาคุณพี่แขก ก็จะมีหน้าที่ ตำส้มตำอย่างเดียวเลย (พี่คนนี้จะดูดุๆหน่อย ผมไปกินมาเกือบ 10 ปีแล้วยังไม่เคยเห็นแกยิ้มสักครั้ง) ส่วนพี่แขกเจ้าของร้านจะทำทุกอย่าง เช่น ลาบ ,น้ำตก ,อ่อม ,ต้มยำ และอื่นๆทั้งหมด ดังรายการอาหารต่อไปนี้


รายการอาหาร


    รายการอาหารก็จะมีแค่ที่แสดงให้เห็นนะครับ ปลาย่าง หอยแครง กบทอด จะไม่มีนะครับ และอาหารตามฤดูกาลก็จะมีนะครับเช่น ต้มยำ หัว พุง ไข่ ปลาช่อน ถ้าฤดูไหนปลาช่อนไม่มีไข่ อย่าไปสั่งนะครับ   แต่ถ้าใครมาร้านอาหารประเภทนี้แล้วไม่สั่ง "ส้มตำ" ก็คงไม่มีหรือมีน้อยมากนะครับ ส่วนมากจะสั่งกันทุกโต๊ะ ส้มตำที่นิยมสั่งกันก็มี ส้มตำไทย ส้มตำไทยใส่ปู ส้มตำปูปลาร้า ส้มตำไข่เค็ม ตำโคราช ตำถั่ว ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ อร่อยทุกตำเลยนะครับ (ถึงแม้ว่าคนตำจะดูน่ากลัวไปสักหน่อย แต่ว่ารสชาติที่ออกมานั้นอร่อยมากจริงๆ) หรือถ้าใครชอบอาหารประเภทต้มร้อนๆไม่เน้นเนื้อสัตว์ ผมขอแนะนำ "อ่อม" ครับ ที่ร้านนี้มีอ่อมให้เลือกอยู่ด้วยกัน 4 รายการนะครับ คือ อ่อมหมู อ่อมเนื้อ อ่อมเป็ด และอ่อมปลาช่อน อ่อมที่ร้านนี้จะมีความหอมของน้ำปลาร้า และ ผักชีลาว ความเผ็ดกำลังดี และยังได้ความสดของผักต่างๆเช่น บวบ มะเขือเปาะ กะหล่ำปลี เห็ด อีกด้วย
   


อาหารแขกร้านลาบ

    อาหารประเภทย่างก็มี คอหมูย่าง ตับหมูย่าง เนื้อย่าง ไส้ย่าง อาหารประเภททอดที่คนนิยมสั่งก็คือ ปากเป็ดทอด เนื้อทอด ไส้ตันทอด ครับ ส่วนคอหมูย่างนั้นจะมีรสชาติออกหวานนิดๆ ซึ่งถ้าจิ้มกับน้ำจิ้มแจ่วซึ่งมีรสเปรี้ยวเค็มและเผ็ด แล้วผมว่าอร่อยมากครับ  นอกจากนั้น ลาบ หรือ น้ำตก ก็อร่อยเช่นกัน ซึ่งมีรสจัด และหอมกลิ่นข้าวคั่วและเครื่องปรุง อีกด้วย ลาบที่ลูกค้านิยมสั่งกันที่คือ ลาบเป็ด  , ลาบปลาหมึก และลาบหมู ลาบเป็ด นี่เป็นเมนูที่ผมขาดไม่ได้เลยครับ อร่อย สุดๆ


อาหารแขกร้านลาบ

  รวมๆแล้ว สรุปได้ว่าเป็น ร้าน ลาบ ส้มตำ ริมถนนที่รสชาติอร่อยใช้ได้เลย ราคาปลานกลาง เฉลี่ยๆ จานละ 50-60 บาท อืม....เกือบลืมบอกเลยครับว่า ร้านนี้ปิดตอนไหน ...... เคยถามพี่ๆที่ร้านหลายครั้งแล้วครับ พี่เค้าบอกว่า ปิดเวลาที่ลูกค้าโต๊ะสุดท้ายอิ่มแล้วคิดเงิน ก็คือว่า กินได้เรื่อยๆจนไม่มีคนกินนั่นแหละครับเค้าถึงจะปิดร้าน  ผมเคยกินถึงตีหนึ่งกว่าๆก็ยังไม่ปิดนะครับ 

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ร้านก๋วยเตี๋ยวป้าพอง สภาสังคมสงเคราะห์

สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูประถัมภ์ ผมเชื่อว่าชื่อนี้คุณหลายๆคนคงอาจเคยได้ยินและคุ้นหูกัน แต่คงมีสักไม่กี่คนที่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน เป็นสถานที่เล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากอนุสาวรีย์ชัยฯครับ ก็คืออยู่บริเวณสี่แยกตึกชัยนั่นเอง สถานที่นี้อยู่ตรงข้ามอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ ของรพ.รามาธิบดี ถ้ามาจากอนุสาวรีย์ชัยฯตรงมาถึงแยกตึกชัย จากนั้นเลี้ยวขวาก็ถึงเลย อยู่ด้านซ้ายมือนะครับ บริเวณนี้จะมีร้านอาหารอยู่ไม่มาก ประมาณ 3-4 ร้าน ร้านป้าพอง เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวร้านเดียว เข้าไปอยู่ร้านแรกเลยครับ พวกผมเรียกกันว่าป้าพองอาร์ทติส ร้านป้าแกขายก๋วยเตี๋ยวก็จริงครับ แต่ก๋วยเตี๋ยวป้าพองมีหลายสูตรมาก  แต่เราไม่รู้ล่วงหน้าเลยว่าพรุ่งนี้จะขายสูตรไหน (แล้วแต่อารมณ์ป้าพองน่ะครับ) เช่น ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตก ก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ ก๋วยเตี๋ยวหมูแดง ก๋วยเตี๋ยวหมูสูตรโบราณ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ก็คือว่าแล้วแต่ดวงน่ะครับ ว่าวันนี้จะได้กินสูตรอะไร บางวันยิ่งกว่านั้นครับ ไม่ขายก๋วยเตี๋ยวซะงั้นครับ แต่เป็น ข้าวขาหมู หรือ ข้าวมันไก่ แทน แต่รสชาติของข้าวขาหมูอร่อยมากครับ กลิ่นเครื่องเทศแทรกซึมเข้าถึงเนื้อในของหมู คะน้าสดๆ ที่เพิ่งลวกในแต่ละจาน การบรรจงหั่นหมูอย่างปราณีต พิถีพิถัน บางทีบรรจงจนไปสนใจคิวที่รอเลย ส่วนข้าวมันไก่ ข้าวหุงอย่างสวยเลย ไม่นิ่มไม่แข็งจนเกินไปและที่สำคัญ ไม่มันมาก และยังหอมมากอีกด้วย แต่ไม่ใช่ประเด็นนะครับ สิ่งที่ทำให้หลายๆคนติดใจ รวมทั้งผมด้วยก็คือ น้ำจิ้มสูตรเด็ด ครับ แต่เราไม่สามารถจะกินได้ทุกวันนะครับ เมนูข้าวขาหมูและข้าวมันไก่นี้ ป้าพองทำเดือนละ 2-3 วันเท่านั้นเอง ถ้าวันไหนเราเจอเมนูข้าวนี่ถือว่าสเปเชียล แล้วครับ อารมณ์ป้าพองนี่ศิลปินจริงๆ

ตู้ก๋วยเตี๋ยวโบราณไม้สักร้านป้าลำพอง

ความคลาสสิคของตู้ก็บอกได้แล้วว่าป้าพองขายมาหลายสิบปี ขายก๋วยเตี๋ยวส่งลูกเรียนจนจบปริญญาแล้วครับ ราคาก็ไม่แพงครับ ชามละ 30 บาทเท่านั้นเอง พิเศษก็ 35 บาท ใส่ถุงกลับบ้านก็ 35 บาทครับ เมนูที่ผมอยากแนะนำก็คือ บะหมี่ต้มยำเย็นตาโฟแห้ง รสชาติแซ่บมากโดยไม่ต้องปรุงเพิ่งเลย แต่ว่าก๋วยเตี๋ยวโบราณก็อร่อยไม่แพ้กันนะครับ เครื่องในต่างๆ ครบเครื่อง เช่น ตับ กระเพาะ หัวใจ ไส้ หมูซึ่งต้มจนเปื่อย ลืมบอกไปนะครับ ร้านนี้ไม่ขายเนื้อนะครับ เป็นก๋วยเตี๋ยวหมูล้วนๆเลยครับ 


ก๋วยเตี๋ยวชนิดต่างๆ ของร้านป้าลำพอง

    นอกจากก๋วยเตี๋ยวแล้วอย่างที่บอกนะครับ เมนูข้าวที่อร่อยไม่แพ้กันเลย ข้าวขาหมูป้าพอง เมนูพิเศษจะได้กินเดือนละ 2-3 ครั้งเท่านั้นครับ แล้วก็หมดเร็วด้วย ต้องไปซื้อแต่เช้าเพราะเที่ยงๆก็หมดแล้ว เช่นเดียวกันกับข้าวมันไก่ครับ ถ้าไม่ซื้อตั้งแต่ตอนเช้ามีหวังอดกินและต้องรอกันไปอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้กว่าป้าพองจะทำขายอีก อยู่ที่อารมณ์อีกนั่นแหละครับ แต่ความอร่อยก็คุ้มค่ากับการรอคอยนะครับ และนานๆกินทีจะได้ไม่เบื่อ

ข้าวขาหมูป้าลำพอง

  ซึ่งความอร่อย,ราคาถูกและอยู่ใกล้ที่ทำงานนนี้ทำให้ผมและเพื่อนๆ เป็นลูกค้าประจำของป้าพองนั่นเอง ถ้าใครอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ หรืออยากลองฝีมือของป้าพอง เชิญมาชิมกันได้นะครับ ร้านก๋วยเตี๋ยวป้าพองเปิดแต่เช้าเลยครับประมาณ 07.00 น. ถึงประมาณ 14.00 น. ครับ ถ้ามาช้ากว่านี้อดกินแน่นอนครับแต่ต้องลุ้นกันนิดนะครับว่ามาแล้วจะได้กินเมนูอะไร แต่รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนครับ เพราะว่าทุกเมนูอร่อยเหมือนกันหมด

ก๋วยเตี๋ยวหมูแดง 

บรรยากาศที่ร้านและลูกค้าประจำ

   โดยรวมๆแล้วเป็นร้านธรรมดาๆที่รสชาติอร่อยและราคาประหยัดนั่นเองครับ ถ้าผ่านมาแวะชิมกันได้ครับ อืม..แต่ขอบอกก่อนนะครับ ถ้าวันหลังจากวันที่สลากกินแบ่งรัฐบาลออก 1 วัน คือวันที่ 2 และ 17 ของทุกเดือน ไม่ควรมานะครับ คนจะเยอะมากๆ เพราะมีการรับสลากกินแบ่งรัฐบาล คนจะเยอะมากเป็นพิเศษ
       วันนี้ผมถือว่าเป็นโอกาสดีครับ เช้าๆผมว่าจะไปซื้อหมูทอดข้าวเหนียวแต่เดินผ่านร้านป้าพองต้องเปลี่ยนใจครับ วันนี้ป้าพองทำข้าวมันไก่ครับ เมนูที่หลายๆคนรอคอยก็มาถึง ป้าพองบอกว่าช่วงนี้หมูถูกเร็วๆนี้อาจได้กินข้าวหมูแดง หรือ ข้าวขาหมู ครับ

ข้าวมันไก่ป้าพอง

น้ำจิ้มสูตรเด็ด


   สิ่งที่ขาดไม่ได้นะครับ น้ำจิ้มสูตรเด็ดที่รสชาติออกหวานนิดๆ และยังมีกระเทียมสับละเอียดและพริกขี้หนูสวนหั่นละเอียดเพื่อเพิ่มรสชาติและความเผ็ดร้อนเข้าไปอีก

ป้าลำพอง

  บรรยายกันมาตั้งนานไม่เห็นหน้าตาสักทีวันนี้พอซื้อเสร็จขอป้าพองถ่ายสักรูป ( ลูกค้ายังไม่เยอะ ) เมื่อสักครู่ เวลา 11.30 น. เพื่อนจะไปซื้อบ้างแต่ว่า (ตามที่คาดหมายไว้) หมดซะแล้ว อดกินตามเคย เดี๋ยวคราวหน้าถ้าป้าพองทำข้าวหมูแดงผมจะเอามาลงอีกนะครับ ขอบคุณครับ



วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

กระเป๋ากล้องทำไมต้อง Domke

Domke

กระเป๋ากล้อง DOMKE

กระเป๋ากล้อง Domke เป็นกระเป๋ากล้องที่ผลิตในประเทศอเมริกา (made in USA) ส่วนใหญ่ที่นิยมใช้กัน มีอยู่ 3 รุ่นครับ คือ F-2 , F-3X และ F-5XB ซึ่งเป็นกระเป๋ากล้องสำหรับสะพายข้างนะครับ (สะพายหลังแบบเป้ก็มีแต่คนไม่ค่อยนิยม) ตัวกระเป๋าทำมาจากผ้า Canvas และผ้า ballistic ส่วนรุ่นอื่นๆก็มีอีกหลายรุ่นนะครับ แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยม ผ้าที่นิยมกันกันคือ Canvas ซึ่งรุ่น F-2 จะใหญ่กว่ารุ่น F-3X จากประสบการณ์ที่เคยใช้ถ้ามีคนถามว่ากระเป๋า Domke ดีอย่างไร ตอบได้เลยว่า "แพงดีครับ" อีกอย่างคือ เท่ดี(มั้ง) ความคงทนปลานกลาง แค่นี้จริงๆ ตัวกระเป๋าไม่สามารถกันฝุ่น กันละอองน้ำ และกันกระแทกได้


DOMKE F-2

Domke F2 เป็นรุ่นยอดนิยมของตากล้องครับเพราะสามารถใส่ Body กล้องได้ถึง 2 ตัวและเลนส์อีก 3-4 ตัวเลยทีเดียว มีกระเป๋าเล็กๆ ด้านข้างทั้งสองและด้านหน้า สามารถเก็บอุปกรณ์กล้องเล็กๆน้อยๆ เช่น สายลั่นชัตเตอร์ ที่ชาร์ท และอื่นๆได้อีกมากเลยทีเดียวครับ สีของกระเป๋าส่วนมากจะเป็นสีพื้นๆครับ เช่นสีน้ำเงิน (Navy Blue) , สีน้ำตาล (Sand) , สีดำ (Black) , สีเขียวขี้ม้า (Olive Green) และ เทา (Grey)


DOMKE F-3X

Domke F3X เป็นรุ่นยอดนิยมของตากล้องอีกหนึ่งรุ่นครับเพราะสามารถใส่ Body กล้องได้ 1 ตัวและเลนส์อีก 2-3 ตัว มีกระเป๋าเล็กๆ ด้านข้างทั้งสองและด้านหน้า สามารถเก็บอุปกรณ์กล้องเล็กๆน้อยๆ เช่น สายลั่นชัตเตอร์ ที่ชาร์ท และอื่นๆได้อีกมากเลยทีเดียวครับ สีของกระเป๋าส่วนมากจะเป็นสีพื้นๆครับ เช่นสีน้ำเงิน (Navy Blue) , สีน้ำตาล (Sand) , สีดำ (Black) , สีเขียวขี้ม้า (Olive Green) และ เทา (Grey)

ภายในกระเป๋า Domke F-3X

สายกระเป๋าจะมียางสีดำๆถักไว้กับสายเพื่อกันลื่นแต่เมื่อเวลาใช้ไปนานๆยางจะแข็ง กรอบ และแตกหลุดออกจากสาย ทำให้สายด้ายในเป็นด่างๆ เมื่อมองเห็นทำให้ไม่สวย แต่ดูเซอร์ (หรือเปล่า) และวัสดุที่ใช้ล็อคทำจากเหล็กซึ่งเมื่อใช้ไปนานๆ สีดำจะร่อนออก อีกเช่นกัน 


สายกระเป๋าจะมียางสีดำกันลื่น

      สุดท้ายก็แล้วแต่ความชอบส่วนตัวเลยครับว่ารับได้กับประสิทธิภาพของมันหรือเปล่า ถ้ารับได้ก็ซื้อเลยครับ ราคาขายต่อไม่ขาดทุนเยอะครับเพราะว่าเก่าๆเซอร์ดีครับ แต่บางคนก็ชอบแข็งๆ ความชอบส่วนตัวอีกแหละครับ พูดยาก อืม.. ลืมบอกครับ  รุ่นที่ทำจากผ้าไนลอน ballistic สามารถกันน้ำได้ และรุ่น  Ruggedwear ที่เป็นรุ่นล่าสุดก็สามารถกันละอองน้ำได้นิดหน่อย 


รูปโลโก้ Domke ด้านข้างกระเป๋า

อีกนิดแล้วกันนะครับ พอพูดถึงโลโก้ Domke ก็เลยอยากเล่าประวัติย่อๆให้ฟังกันสักหน่อยครับ
         Domke (ดอมเก้) เจ้าแบรนด์นี้กำเนิดโดยนาย จิม ดอมเก้ (Jim Domke) ช่างภาพหนังสือพิมพ์ชาวอเมริกา คือเขามีความคิดว่าน่าจะทำให้มันเบาสะพายง่าย ซึ่งจะสะดวกต่อการเดินทางไปยังที่ต่างๆ เห็นดังนั้นจึงเริ่มผลิตตัวกระเป๋าขึ้นในช่วงปี1975เป็นชุดแรกโดยได้รับการ สั่งซื้อจากหนังสือพิมพ์ที่เขาทำงานนั้นแหละ และต่อมาก็ออกรุ่นต่างๆตามมาจนเป็นที่ยอมรับรู้จักในช่วงหน้าร้อนปี1976 จนในปี1990เมื่อธุระกิจขยายตัวขึ้นก็ได้ขายต่อให้บริษัท Saunders เข้ามาดำเนินการต่อ จนท้ายสุดในปี1999 ทางบริษัท Tiffen ก็เข้ามารับช่วงต่อเพื่อขยายตลอดออกประเทศต่างๆจนปัจจุบันครับ

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

รู้ก่อนเลี้ยง สุนัขบางแก้ว


สุนัขพันธุ์ไทยบางแก้ว

หมาบางแก้ว

      หมาบางแก้วมีแหล่งกำหนดที่วัดบางแก้ว ต.บางแก้ว อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นแหล่งชุมชนริมแม่น้ำยมในอดีตชาวบ้านอาจเลี้ยงไว้บ้านละตัวสองตัว แต่ถ้าเป็นสิบ ๆ ตัวต้องที่วัดบางแก้ว โดยหลวงพ่อมาก สุวัณณโชโต (เมธาวี) ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบางแก้วรุ่นที่ 3 (ราว พ.ศ. 2405) มีเป็นฝูง และขึ้นชื่อเรื่องความดุที่คนละแวกนั้นทราบกันดี ในสมัยโบราณคนจะเลี้ยงหมาดุไว้เฝ้าบ้าน เฝ้าทรัพย์สิน บริวาร หรือปศุสัตว์ที่เลี้ยงไว้กินไว้ขาย แต่ในความดุดันนั้นยังคงไว้ซึ่งความจงรักภักดีต่อผู้เป็นนาย เมื่อทราบกิตติศัพท์หมาดุแห่งวัดบางแก้ว ชาวบ้านได้มาขอลูกหมาจากวัดไปเลี้ยงต่อ ๆ กันไป สันนิษฐานกันว่าหมาบางแก้วมาจากการผสมข้าวพันธุ์ระหว่างสุนักพันธ์ ไทยโบราณเพศเมียกับหมาจิ้งจอกและหมาไน เนื่องจากลักษณะเด่นที่หมาบางแก้วได้รับการถ่ายทอดจะมาจาก 3 สายพันธุ์นี้เป็นหลัก กล่าวคือ 
     
       1.หมาจิ้งจอก (Canis Auresus) มีอยู่ด้วยกัน 4 ชนิด
    หมาจิ้งจอกทองหรือหมาทอง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า คานิส ออรีอัส (Canis Aureus) มีลักษณะคล้ายหมาป่าวูล์ฟ ขนาดเล็ก มีอยู่อย่างกระจัดกระจายตั้งแต่อัฟริกาใต้ไปจนถึงอัฟริกาเหนือ มีขนสีน้ำตาลปนเหลือง ส่วนหลังและหางจะแซมด้วยขนสีดำ
   หมาจิ้งจอกหลังดำ (Black-backed) หรือหลังอาน  มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า คานิส เมโวเมลาส์ (Canis Mesomlas) พบในอัฟริกาตอนกลาง อัฟริกาใต้ ที่หลังมีขนยาวสีดำปนขาวแผ่กระจายเต็มหลังไปจนถึงบริเวณหางคล้ายกับอานม้าและใบหูใหญ่
    หมาจิ้งจอกข้างลาย  มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า คานิส เอดัสตัส (Canis Adustus) หมาจิ้งจอกพันธุ์นี้มีขนสีเทาและมีขนสีดำพาดเป็นทางด้านข้างของลำตัว ที่ปลายหางจะมีสีขาว พบในอัฟริกาเขตร้อน
    หมาจิ้งจอกไซเมี่ยน แจ็คกัล (Simian Jackal)  มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า คานิส ไซเมนซิส (Canis Simensis) พบในเขตที่ราบสูงเอธิโอเปีย มีรูปร่างและขนาดอยู่ระหว่างหมาจิ้งจอกฟ๊อกซ์ (Fox) และหมาป่าวูล์ฟ (Wolf) แต่ดูแล้วจะเหมือนหมาจิ้งจอกฟ๊อกซ์ (Fox) มากกว่า ลักษณะที่เด่น ๆ คือ หูตั้ง ใบหูใหญ่ ปลายหูแหลม ลำตัวค่อนข้างยาว ขนตามลำตัวสีแดง ส่วนขนที่ใต้คอสีขาว และมีแนวขนสีแดงแก่พาดรอบคอ ขายาว บนที่บริเวณปลายขาจะมีสีขาว หางเป็นพวง โคนหางขาวปลายโคนหางประมาณ 100 เซนติเมตร (40 นิ้ว) หรือ 1 เมตร หางยาว 30 เซนติเมตร (10 นิ้ว) น้ำหนัก 10 กิโลกรัม (22 ปอนด์) ตามธรรมชาติจะชอบอยู่เป็นคู่หรืออยู่ลำพังตัวเดียว หมาจิ้งจอกพันธุ์นี้นับว่าเป็นหมาที่มีขนาดใหญ่ แต่ชนิดที่มีอยู่ในแถบเอเชียและที่พบในประเทศไทยนั้นเป็นชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Canis Aureus Indicus (คานิส ออริอัส อินดิคัส) ขนของหมาจิ้งจอกจะมีสีน้ำตาลปนเทา มีลายกระดำกระด่างเปรอะ ๆ ไม่มีสีพื้นแดงสนิมเหมือนอย่างขนของหมาไน นอกจากนั้นแล้วยังมีขนยาวปกคลุมรอบคอเป็นแผงใหญ่ ขนในบริเวณนี้ปลายขนจะมี สีดำ ขนตามลำตัวจะมีลักษณะเป็นขนสองชั้น แผ่นชี้ปกคลุมตั้งแต่ท้ายทอยลงมาถึงกลางหลังเรื่อยลงไปจนถึงโคนหาง มีลักษณะคล้ายกับอานม้ามากกว่าขนที่กลางหลังของหมาไทยพันธ์หลังอานเสียอีก เพราะขนที่หลังของหมาหลังอานเป็นขนชนิดที่ย้อนกลับคล้าย ๆ กับขวัญ หางของหมาจิ้งจอกจะสั้นกว่าหางของ หมาไนและขนที่หางจะมีสีดำเพียง 1 ใน 3 ส่วนหมาไนนั้นขนที่หางจะมีสีดำ    ความสูงประมาณ 40 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 7-14 กิโลกรัม (15-31 ปอนด์) ความยาวของลำตัววัดจากหัวถึงโคนหางประมาณ 60-70 เซนติเมตร (24-30 นิ้ว) ความยาวของหางวัดจากโคนหางถึงปลายหางประมาณ 23-25 เซนติเมตร (9.2-14 นิ้ว) สำหรบขาขอหมาจิ้งจอกจะเล็กและยาวเรียวเวลาก้าวย่างเดินจะโหย่งเท้า  กะโหลกศีรษะอยู่ในจำนวนพวกสกุลคานิส ลักษณะของจมูกจะยาว แต่จมูกไม่ดำ ลำตัวกลมและแข็งแรง สันกลางต่ำ โค้งกว้างแตกต่างกับหมาไน ซึ่งมีจมูกสั้นและจมูกสีดำ หน้าผากของหมาจิ้งจอกค่อนข้างจะแบนเล็กน้อย หน้าแหลม หูตั้งป้องไปด้านหน้า
 2.หมาไน (Asiam Wild Dog)
    มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cuon Alpinus ชื่อเมือนหรือชื่อพ้องคือ Canis Javanicus หรือ Canis Rutiland) บางครั้งก็เรียกว่าหมาไนว่า "หมาแดง" (Red dog) มีลักษณะแตกต่างกว่าหมาจิ้งจอก คือ มีสีแดงสนิม (Rush red) ตลอดทั้งตัว ไม่มีแผงคอเหมือนหมาจิ้งจอก หางมีสีดำ ความยาวของหาง 40-50 เซนติเมตร (16-20 นิ้ว) ความยาวของลำตัววัดจากหัวถึงโคนหาง 88-113 เซนติเมตร (35-45 นิ้ว) น้ำหนักตัว 14-21 กิโลกรัม จึงมีลักตัวยาวเพรียวกว่าหมาจิ้งจอกและท้องไม่คอดกิ้วเช่นหมาไทยพื้นบ้าน  หมาไนตัวใหญ่กว่าหมาจิ้งจอก มีสีเดียวกันตลอดทั้งตัว (มากกว่าหมาจิ้งจอก) หางยาวและสีเข้มกว่า จมูกเข้มกว่า และสั้นกว่า ภายในหูมีขนขาวละเอียดอ่อนปกคลุม ปลายหูกลมมน ไม่แหลมเหมือนหมาจิ้งจอก มีขนตามลำตัวสีแดงสนิม ขนยาวกว่าหมาจิ้งจอก ขนที่แผงคอไม่มี (หมาจิ้งจอกมี) เท้าและขนที่หางมีสีดำ ลูกที่เกิดใหม่จะมีสีดำคล้ำ เมื่อโตขึ้นสีจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงสนิม  กะโหลกศีรษะคล้ายกับของหมาจิ้งจอก แต่ใหญ่กว่า จมูกกว้างและส่วนหน้าแบนกว่า เบ้าตาต่ำกว่า รูปร่างฐานเบ้าตาสั้นกว่าและทื่อค่อนไปทางข้างหน้า ลักษณะฟันไม่เหมือนกัน ไม่มีกรามที่สามด้านล่าง กรามล่างอันแรกมีเพียงเขี้ยวเดียว (แต่ในหมาจิ้งจอกมี 2 เขี้ยว) ปากอมสีน้ำตาลเข้มหรืออาจมีสีขาวปน หางเป็นพวกห้อยลงดิน  ส่วนมากจะหลบซ่อนตัวอยู่ในที่ร่มหรือโพรงดินตื้น ๆ เห่าเสียงธรรมดาถี่ ๆ แต่เมื่อตกใจจะร้องเสียงแหลม หมาไนสามารถกระโดดได้ไกล 3-3.5 เมตร เวลาวิ่งกระโดดไกล 5-6 เมตร และสูง 3-3.5 เมตร เวลาล่าเหยื่อที่เป็นสัตว์ใหญ่กว่าจะรวมตัวกันเป็นฝูง 6-8 ตัว จนถึง 20 ตัว หาเหยื่อได้โดยการดมกลิ่น และสะกดรอยไปจนเห็นเหยื่อ จากนั้นจะไล่เหยื่อไปจนเหนื่อยอ่อนและจนมุม
   3.หมาไทยพื้นบ้าน
    ขนตามลำตัวสั้นเกรียน ละเอียดเป็นเงา หูตั้ง ปลายหูแหลม แข้งขาเล็กเรียวคล้ายขาเก้ง อุ้งเท้าเล็ก ลำตัวค่อนข้างยาวเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หางมีหลายรูปแบบคือหางกระรอก หางงอม้วนเป็นก้นหอยหรือขนมกง


ลูกสุนัขพันธุ์ไทยบางแก้ว

 พันธุกรรมที่ได้รับ

    จากหมาจิ้งจอก
ลักษณะต่าง ๆ ทางพันธุกรรมที่หมาบ้างแก้วได้รับจากหมาจิ้งจอกที่เห็นได้ชัดคือ
 ข้อเท้า    เอนเข้าหาตัวเพียงเล็กน้อย
เขี้ยว    ที่เล็กและแหลมคม
    สีขน    มีลักษณะจุดประหรือแต้มด่าง ซึ่งในหมาไทยทั่วไปไม่มี
    เส้นขน    หยาบเป็นมันส่องประกายแวววาว ส่วนมากจะเหยียดตรงหรือหยิกฟูนุ่มมือน้อยกว่าหมาไทยลูกผสมอื่นๆ ลูกหมาบางแก้วอายุ 1-2 เดือน ขนจะหยาบกระด้างกว่าขนของหมาจู
    ขน    เป็นขนยาวสองชั้น โดยขนชั้นในสั้นเป็นปุยและละเอียดอ่อนนุ่มเหมือนปุยฝ้าย ขนชั้นนอกยาวฟู บริเวณกกหู คอ ใต้คาง และแผงอกแผ่กระจายดูคล้ายคอสิงห์โต ขนที่สีข้างจะค่อนข้างยาว
    หู    คล้ายหมาจิ้งจอก มีขนปุกปุยในรูหูและโคนกกหูด้านนอก

    จากหมาไน
    พันธุกรรมที่หมาไนถ่ายทอดมาสู่หมาบางแก้วที่สังเกตได้คือ
    ขน    หมาบางแก้วบางตัวมีขนสีน้ำตาลแดงหรือสีสนิมแต้มอยู่บริเวณแก้ว ลำตัว อุ้งเท้า ถ้าเป็นเพศเมียจะมีบริเวณอวัยวะเพศอย่างเห็นได้ชัด
    หู    เล็กสั้นและตั้ง
    ลำตัว    ลำตัวจะยาวและท้องไม่กิ่วเหมือนหมาไทยพื้นบ้าน
    หาง    อาจมีขนสีดำที่โคนและปลายหาง
    ขา    ใหญ่กว่าหมาไทยทั่วไป
    ปาก    บางตัวปากมอม ซึ่งในหมาจิ้งจอกจะไม่มีปากมอม

    จากหมาไทยพื้นบ้าน

    พันธุกรรมอื่นๆ ที่นอกเหนือจากที่กล่าวมา หมาบ้างแก้วได้รับการถ่ายทอดจากหมาไทยพื้นบ้าน โดยเฉพาะหางที่โค้งงอขึ้นบน

มาตรฐานสายพันธ์สุนัขบางแก้ว

    ชมรมผู้อนุรักษ์และพัฒนาสุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว จ.พิษณุโลก เป็นหน่วยงานแรก ๆ ที่ได้ประชุม ตกลงร่างมาตรฐานหมาบางแก้วขึ้นมา (ในปี พ.ศ. 2534ป และได้ถือเป็นแบบอย่างมาเท่าทุกวันนี้
    หมาบางแก้วจะเดินหรือวิ่งเหยาะ ๆ ท่วงท่าสวยงาม ปกติจะวิ่งซอยเท้าถี่ ๆ สง่างาม บางตัวเวลาเดินเห็นแผงขนบนสันหลังยกขึ้นดูสง่างามเฉกเช่นม้าย่างเท้าสวนสนาม ขึ้นชื่อมากเรื่องความดุ มีความซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ รักและหวงเจ้าของ ไม่ชอบคนแปลกหน้า มีความสามารถในการดมกลิ่นเป็นเลิศ จำเสียงได้ แม่นยำ กินอาหารง่าย มีความกล้าหาญ กล้าที่จะสู้กับสุนัขที่ตัวโตกว่า มีประสาทตื่นอยู่เสมอแม้นอนหลับ เป็นสุนัขที่ชอบเล่นน้ำ เมื่อหมอบข้อศอกจะแนบกันพื้นและเท้าหลังจะแบออกทั้งสองข้าง ก่อนจะกินน้ำในอ่าง ชอบเอาเท้าหน้าข้างหนึ่งข้างใดจุ่มลงไปในอ่างก่อน เวลาขู่จะเหยียดขาหน้าพุ่มไปข้างหน้า แล้วผงกหัวและแผงขนหลังตั้งขึ้นพร้อมกับส่งเสียงขู่ ชอบกินเนื้อสัตว์และปลา เนื่องจากหมู่บ้านบางแก้ว อาชีพหลักของชาวบ้านแถบนั้นคือจับปลา ค้าปลาน้ำจืด และเลี้ยงสุนัขไว้บนแพ อาหารที่ได้จึงหลีกไม่พ้นปลา แต่อาหารอื่นก็กินได้เช่นกัน
     


หัวกะโหลก กะโหลกใหญ่ ปากยาวแหลม คอยาวกว่าหมาไทยทั่วไป กะโหลกศีรษะและปากรับกันเป็นรูปสามเหลี่ยม หูเล็กสั้นตั้งป้องไปข้างหน้า ปลายหูเบนออกข้างเล็กน้อย โคนหูทั้งสองอยู่ห่างกันมากกว่าหมาไทยหลังอาน จึงใช้เป็นจุดเด่นในการสังเกตว่าเป็นหมาบางแก้ว ตาเล็กกลมรี พื้นสีตาเป็นสีเหลืองทองคล้ำ ม่านตาตรงกลางสีดำ มีแววของความไม่เชื่อใจใครง่าย ๆ ขณะโกรธหรือขู่จะขึ้นแววฟ้าใส แววที่เรียกว่า "ตาเขียว" จมูกสีดำ ฟันซี่เล็กขาวคม มีเขี้ยวข้าบน 2 ล่าง 2 ลิ้นเป็นสีชมพู ส่วนมากไม่มีปากดำเหมือนหมาไทยหลังอาน
หู มี 2 ลักษณะ คือ ถ้าหากใบหูใหญ่ปลายหูกลมมน ภายในหูมีขนปกคลุมปิดรูหูเป็นลักษณะของหูสุนัขจิ้งจอก แต่ถ้าหูเล็กสั้นมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ตั้งป้องตรงไปข้างหน้า ปลายหูเบนออกไปทางด้านข้างเล็กน้อย จะเป็นลักษณะของหูหมาไน ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก หูของหมาบางแก้วส่วนมากที่ขอบใบหูจะมีลักษณะเป็นสันเล็ก ๆ มีขนอ่อนปกคลุมอยู่ภายในหู และที่กกหูด้านนอกจะมีขนปุยนุ่มปกคลุมมากบ้างน้อยบ้าง
ตา มีลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยมคล้ายตาเสือ ที่ทำเป็นเซื่องซึม แต่เมื่อเจอะเจอคนแปลกหน้าจะมีแววดุวาวและเขียวปั๊ด 
ปาก ปากแหลมเรียวกว่าสุนัขไทยทั่ว ๆ ถ้าหากมองจากหน้าหน้าจะสังเกตเห็นว่าหัวกะโหลกลงมายังปากจะแคบสอบลงไปเรื่อย ๆ คล้ายกับสามเหลี่ยม ถ้าหากสีของลำตัวด่างแดงสนิมกับขาวหรือดำขาวบริเวณปากจะมีสีขาวผ่านตลอดใต้ คางที่ปลายปาก ซึ่งคล้ายคลึงกับลักษณะของสุนัขจิ้งจอกและหมาไน ซึ่งคนไทยโบราณเรียกว่า ปากคาบแก้ว ถ้าเป็นสีปลอดมักจะไม่มี ฟันแข็งแรง เขี้ยวเล็ก แหลมคม
คอ ใหญ่ หนา และแข็งแรงมาก เมื่อโตเป็นหมาหนุ่มสาวจะต้องใช้โซ่และปลอกคอที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรง เพราะเวลากระโดดหรือกระชากจะได้ไม่ขาดง่าย
หาง โคนหางใหญ่ โค้งงอไปข้างหน้า ถ้าปลายคางจรดกลางหลังไม่ไพล่ไปข้างใดข้างหนึ่งของลำตัวจะสวยงามมาก ขนที่หางจะยาวตั้งเป็นพุ่มกระจายเป็นพวงโค้งไปข้างหน้า ปลายหางจรดหลัง หางที่ขอดเป็น วงกลมหรือหางที่มีลักษณะอื่นๆ มิได้หมายความว่าไม่ถูกต้องตามลักษณะของหมาบางแก้ว ทั้งนี้เนื่องจากลักษณะของหางที่โค้งงอไปบนหลังนั้นเป็นลักษณะเด่นทางพันธุ กรรมของหมาไทย ส่วนหางที่มีลักษณะเป็นพุ่มพวงนั้นเป็นลักษณะเด่นทางพันธุกรรมของหมาไนและ หมาจิ้งจอก ด้วยเหตุผลดังกล่าวหมาพันธุ์ บางแก้วส่วนมากจังมีหางโค้งเป็นครึ่งวงกลมหรือวงกลม แต่เป็นพวงสวยงาม









พอสรุปลักษณะเด่นของหากได้ 3 แบบ คือ

1. หางตั้งโค้งไปข้างหน้า บางตัวหางจะเหยียดตรงวางทาบไปบนหลัง
2. หางพุ่งไปด้านหลังแล้วโค้งตั้งขึ้นเหมือนหางดาบ ถ้าหางยาวจะโค้งมาจรดหลัง ถ้ายาวมากจะเบี่ยงลงข้าง ถ้าหางเป็นพวงใหญ่มีน้ำหนักมาก หางจะไพล่ห้อยลงข้างตัว ซึ่งส่วนใหญ่หมาบางแก้วจะมีหางลักษณะนี้
3. หางเป็นพวงลาดแบบแทงดิน ยาวห้อยลงอย่างหางม้า เวลาดีใจ เมื่อเดินทางหรือวิ่งจะ แกว่งหางไปมา เวลายืนหากมั่นใจว่าปลอดภัยจะยกหางสูงขึ้นเลยระดับตัวเล็กน้อย เรียกว่าหางจิ้งจอก

ขน
เนื่องจากหมาบางแก้วเป็นลูกผสมที่มี 3 สายเลือด คือ หมาใน หมาจิ้งจอก และหมาไทยพื้นบ้าน ลักษณะสีขนจึงมีสีดังต่อไปนี้คือ สีน้ำตาลแก่สีขาวปลอด สีดำปลอด สีด่างขาวน้ำตาล สีด่างขาว-ดำ และ สีนาค ซึ่งปัจจุบันนี้คงจะสูญพันธุ์ไปแล้ว หมาบางแก้วยังมีลักษณะเด่นอยู่อย่างหนึ่งคือจะมีจุดแต้มตามลำตัว และที่ขา ถ้าสุนัขสีดำ-ขาว จุดแต้มก็จะมีสีน้ำตาลแดง
ขนตามลำตัว
  มีลักษณะเป็นขนสองชั้น ชั้นแรกเป็นขนตามลำตัว เป็นขนที่สั้นและอ่อนนุ่มและหนากว่าขนชั้นที่ 2 ขนชั้นที่ 2 เป็นขนเส้นยาว ๆ เริ่มต้นจากท้ายทอย ผ่านต้นคอแผ่กระจายลงไปถึงหนอกหลัง กลางหลัง และโคนหาง บริเวณนี้มีลักษณะคล้ายอานม้า ขนที่บริเวณอกค่อนข้างหนาคล้ายแผงคอ ขนที่สีข้างค่อนข้างยาว สำหรับลูกสุนัขที่มีอายุประมาณ 1-2 เดือน มักจะมีขนหนาปุกปุยและเส้นละเอียดอ่อนนุ่มมือ
 ขาหลัง
จะขนานกัน เอนลาดไปข้างหลังเล็กน้อย บริเวณแก้วก้นหรือต้นขาส่วนใหญ่จะมีขนยาวปุกปุยคล้ายปุยนุ่นปกคลุมบริเวณ แก้มก้นและแถบใต้โคนหาง เวลาเคลื่อนไหวจะรับกับหางที่ปัดไปปัดมา
ขา
ขาหน้าเหยียดตรงขนานกัน แต่ค่อนข้างใหญ่กว่าขาหลัง และใหญ่กว่าหมาไทยทั่วๆ ไป บริเวณโคนขาส่วนที่ติดกับลำตัวจะมีขนเส้นยาว ๆ ซึ่งชาวบ้านนิยมเรียกว่า "ขาสิงห์"
นิ้ว
ชิดติดกันที่นิ้วของหมาที่อายุน้อยจะมีขนยาวปกคลุมคล้ายนิ้วเท้า ของสุนัขจิ้งจอก ซึ่งต่างกับหมาไทยทั่ว ๆ ไปที่อายุยังน้อย ๆ อยู่นั้น ขนที่นิ้วเท้าจะไม่ยาว จะเริ่มยาวเมื่อมีอายุมากขึ้น เวลาเดินมักจะโหย่งเท้า
ท้อง
  ลักษณะท้องจะไม่คอดกิ่วเหมือนหมาไทยทั่วๆ ไป ลำตัวค่อนข้างจะกลมและหนากว่าหมาไทย แต่อกไม่ลึกเท่ากับหมาไทยทั่ว ๆ ไป
หลัง
ค่อนข้างจะแบน
ขนาด
    ตัวผู้สูงประมาณ 45-53 เซนติเมตร (19-21 นิ้ว) ตัวเมียสูงประมาณ 43-48 เซนติเมตร (17-19 นิ้ว) ตัวผู้หนักประมาณ 14-16 กิโลกรัม ตัวเมียหนักประมาณ 13-15 กิโลกรัม
  สี
 มีหลายสี เช่น สีด่างขาว-ดำ, สีขาว-น้ำตาล, สีขาว-เทา
ลักษณะทั่วไป
 เป็นสุนัขขนาดกลาง รูปทรงตั้งแต่ช่วงขาหน้าถึงขาหลังเป็นสามเหลี่ยมจัตุรัส อกกว้างและลึกได้ระดับกับข้อศอก ไหล่กว้าง ท้องไม่คอดกิ่ว ปากแหลม หูเล็ก หางพวง ขนมี 2 ชั้น รักเจ้าของ ฉลาด ปราดเปรียว กล้าหาญ ค่อนข้างดุ สามารถฝึกใช้งานได้ ชอบเล่นน้ำมาก และเกลือกโคนตม
    ข้อบกพร่อง
ใบหูพลิ้ว ไม่มีขนแผลรอบคอ ขาหน้าเล็ก ไม่มีแข้งสิงห์ ไม่มีขนคลุมนิ้ว เท้า หูใหญ่ หางขอด ขนหลุดร่วง ฟังบนยื่นกว่าฟันล่างหรือฟันล่างยื่นกว่าฟันบน ปากใหญ่ ตาใหญ่ หูไม่ตั้ง หางไม่เป็นพวง ขนสั้น อัณฑะเม็ดเดียว ฟันหัก 3 ซี่ขึ้นไป โดยไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ หางขาด ปากหู่ ตากลม เส้นหลังแอ่น



 

  คำแนะนำในการสังเกตลูกสุนัขบางแก้ว

 1. ลักษณะของลูกสุนัขที่ออกมาในช่วงแรกหูค่อนข้างจะเล็ก เมื่อเปรียบเทียบกับลูกสุนัขไทย ทั่ว ๆ ไป กะโหลกศีรษะใหญ่ กระหม่อมแบนราบ หน้าผากโหนก มีขน 2 ชั้น
2. บางตัวมีสีดำแล้วจะค่อยเปลี่ยนเป็นสีสนิมเหล็กเมื่อโตขึ้น เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากสายเลือด ของหมาไนที่ออกลูกเป็นสีดำในช่วงแรก แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นสีแดงสนิมเหล็ก
3. มีแนวของขนแผงคอเห็นได้อย่างชัดเจน โคนหางอวบใหญ่
4. มีลักษณะของแนวขนแข้งสิงห์ที่ด้านหลังของขาหน้า
5. ขาจะใหญ่และแข็งแรงกว่าสุนัขไทยทั่วไป
6. ขนยาวเป็นปุยนุ่มมือ มีลักษณะเป็นขนสองชั้น
7. เมื่อสุนัขโตขึ้นอายุประมาณ 1 เดือน จะมีนิสัยชอบเล่นน้ำและชอบอาบน้ำ ซึ่งแตกต่างไปจาก สุนัขไทยทั่วไป
8. หน้าแด่นหรือแบ่งเป็นเส้นจากปลายปากถึงกะโหลกศีรษะ ถ้ามีน้อยไม่ยาวมากเรียก "แด่น" แต่ถ้าเส้นยาวมีมากและแยกส่วนศีรษะออกเป็นสองส่วนแรก "แบ่ง"
9. ปลายปากแหลมเล็ก ปลายปากยาว (ขาวเป็นวงรอบปลายปาก) เรียกว่า "คาบแก้ว"
10. มีสีแต้มด่างตามมาตรฐาน
                                       

      

   สาเหตุที่สุนัขบางแก้วดุ

 

สุนัขบางแก้วดุจริงหรือ? ท่านลองถามคำถามนี้กับผู้เลี้ยงสุนัขบางแก้วหลายๆท่าน แล้วท่านจะทราบว่า สุนัขบางแก้วไม่ได้ดุอย่างที่ท่านคิด สุนัขบางแก้วน่ารัก มีเสน่ห์ แต่สำหรับบางท่านผู้ซึ่งมีประสบการณ์ที่ไม่ดี กับสุนัขบางแก้วก็จะบอกว่ามัน ดุมากเลี้ยงไม่ได้ แต่ลองมาเปรียบเทียบอัตราส่วนระหว่างผู้ที่มีความรู้สึกดีๆกับสุนัขบางแก้ว กับผู้ที่มีความรู้สึกไม่ดีต่อสุนัขบางแก้ว ผู้ที่มีความรู้สึกดีๆกับสุนัขพันธุ์บางแก้วจะมีมากกว่า นั่นเป็นเพราะอะไร เราลองมาหาสาเหตุกันดีกว่า แหล่งที่ได้มาของสุนัขบางแก้ว ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าสุนัขบางแก้วนั้น เป็นสุนัขที่อยู่ในช่วงของการพัฒนาสายพันธุ์ จากเดิมสุนัขพันธุ์นี้มุ่งหวังแต่เพียงเป็นสุนัขใช้งาน เน้นในเรื่องของความดุ ความก้าวร้าว ต่อมามีผู้นิยมเลี้ยงกันมากขึ้น เพราะชอบความดุ และสามารถนำมาใช้ในการปกป้องทรัพย์สินได้ แต่ความดุของสุนัขบางแก้วในอดีตนั้น เป็นความดุที่เกินความสามารถของเจ้าของที่จะควบคุมเขาได้ ดังนั้นเชื้อสายของสุนัขบางแก้วในยุคแรกๆจะค่อนข้างที่จะดุแบบก้าวร้าวมากๆ เมื่อนำสุนัขเหล่ามาใช้เป็นพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ การสืบทอดทางสายเลือดในเรื่องความดุและก้าวร้าวก็จะตกทอดมายังลูกหลานด้วย เมื่อท่านไปซื้อ หรือขอสุนัขที่มีสายเลือดค่อนข้างดุเหล่านั้นมาเลี้ยง เป็นธรรมดาที่สุนัขบางแก้วเหล่านั้นจะมีความดุติดมาทางสายเลือดด้วย อีกทั้งผู้ผสมพันธุ์และผู้เลี้ยง ก็เลี้ยงเขามาอย่างผิดวิธี ก็ยิ่งทำให้สุนัขบางแก้วเหล่านั้นยิ่งดุมากยิ่งขึ้น เมื่อสุนัขเหล่านั้นดุมากและอยู่เหนือการควมคุมของเจ้าของ เจ้าของก็แก้ไขโดยวิธีมักง่าย โดยนำหมาบางแก้วเหล่านั้นไปปล่อยให้เป็นสุนัขจรจัดให้ภาระของสังคมต่อไป

 การเลือกลูกสุนัชบางแก้ว

 

ในการเลือกลูกสุนัขนั้น ก่อนที่เราจะตัดสินใจซื้อเพื่อนำไปเลี้ยง ต้องแน่ใจก่อนว่าสมาชิกใน ครอบครัวของเราทุก ๆ คนต้องการสุนัขชนิดนี้อย่างแท้จริง เพราะสุนัขฉลาดพอที่จะรู้ว่าคุณต้องการมัน จริง ๆ หรือไม่ ถ้าลูกสุนัขรู้สึกว่ามันไม่เป็นที่ต้องการอย่างแท้จริงแล้ว คุณจะต้องเลี้ยงสุนัขที่ไม่มีความสุขไปตลอด จนในที่สุดมันจะกลายเป็น "สุนัขมีปัญหา" ซึ่งคุณอาจต้องเลี้ยงสุนัขที่ไม่เป็นที่ต้องการไปอีก 10-15 ปี ทีเดียว ก่อนซื้อควรเลือกให้ดีและแน่ใจเสียก่อนว่าตัวนี้แหละเป็นสุนัขที่เกิดมา สำหรับคุณจริง ๆ
นอกเหนือจากการอ่านวิธีการเลี้ยงแล้ว วิธีที่ดีที่สุดในการเลี้ยงก็คือ ศึกษาจากคนรอบ ๆ ข้างที่เลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้ ทุกคนอยากคุยเรื่องสุนัขของตัวเองให้เพื่อนบ้านฟังกันทั้งนั้น รวมทั้งคุณด้วย
เพศและอายุของสุนัข
ก่อนจะซื้อลูกสุนัข ควรตัดสินใจก่อนว่าคุณต้องการสุนัขตัวผู้หรือตัวเมีย เพราะมันเป็นเรื่องความชื่นชอบส่วนตัว แต่จริง ๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นสุนัขเพศใด มันก็น่ารักเท่า ๆ กัน รวมทั้งลักษณะท่าทางก็เหมือนกัน และมันก็สามารถจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดีได้พอ ๆ กันทั้งสองเพศด้วย
การจะเลือกลูกสุนัขไปเลี้ยงหากไม่แน่ใจว่าจะเลือกลูกสุนัขเพศไหนไปเลี้ยงดีก็ให้พิจารณาจากสิ่งต่อไปนี้ คือ
 สุนัขเพศเมียจะเป็นสัดปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 3-4 วัน ช่วงนี้สุนัขเพศเมียอยากจะผสมพันธุ์ จึงชอบออกเที่ยว ไม่ค่อยจะยอมเชื่อฟัง และมีกลิ่นเพศเมียขจรขจายออกไป เพื่อดึงดูดสุนัขเพศผู้ให้มาหา ผู้เลี้ยงจึงต้องคอยควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดการผสมกับสุนัขที่คุณไม่ต้องการหรือเกิดการผสมข้ามสายพันธุ์ แต่ก็มีทางแก้ไขได้โดยให้กินยาเม็ดจำพวกดับกลิ่นเพศในช่วงที่เป็นสัด เพื่อดับกลิ่นเพศเมีย หรือทำหมันสุนัขเพศเมียนั้น ถ้าไม่ต้องการลูกสุนัขอีก
ส่วนสุนัขเพศผู้ที่แข็งแรงจะไม่สามารถหักห้ามใจในกลิ่นของสุนัข เพศเมียได้ มันจะหงุดหงิดและหาทางออก เพื่อไปหาสุนัขเพศเมีย ถ้าไม่มีการกักขัง สุนัขเพศผู้อาจจะหายไปครั้งละหลาย ๆ วัน เพื่อที่จะไปเฝ้าวนเวียนอยู่บริเวณบ้านของสุนัขตัวเมียที่เป็นสัดนั้น และไม่ยอมกลับมา นอกจากนี้สุนัขเพศผู้มักชอบทำเครื่องหมายบ่งบอกอาณาเขตของตนให้สุนัขตัวอื่น รู้ โดยการฉี่รดตามจุดต่าง ๆ ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นไปทั่ว และเมื่อพาสุนัขเพศผู้ออกไปเดินเล่น มันจะดมกลิ่นไปเรื่อย ๆ และก็จะทำเครื่องหมายไปตลอดทาง
 อย่างน้อยสามในสี่ส่วนของผู้ที่ต้องการเลี้ยงสุนัข ต้องการลูกสุนัขที่ค่อนข้างเล็กกว่าสุนัขรุ่น ๆ หรือสุนัขหนุ่ม เพราะชอบที่จะที่จะคอยเฝ้าดูการเจริญเติบโตของลูกสุนัข จากลูกสุนัขตัวน้อยๆ น่ารักที่นอนแอ้งแม้งเหยียดแข้งเหยียดขามาเป็นสุนัขแรกรุ่น ลูกสุนัขที่มีอายุ 2 ? - 3 เดือนนั้น นับว่าโตได้ที่แล้ว ในวัยนี้ลูกสุนัขจะหย่านมแล้วและจะเป็นอิสระ ไม่ต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่จากแม่สุนัขแต่อย่างใด เป็นวัยที่พร้อมจะรับบทเรียน ลูกสุนัขจะเริ่มเข้าใจและเอาใจใส่กับบทเรียนและทำความคุ้นเคยกับที่อยู่
 แต่ถ้าลูกสุนัขมีอายุน้อยกว่า 2 ? เดือน ลูกสุนัขจำเป็นได้รับการเอาใจใส่จากแม่สุนัขตลอดเวลา ผู้เลี้ยงจึงต้องมีภาระมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ลูกสุนัขในวัยนี้หรือวัยที่โตพอจะหย่านมแล้วราคาคงไม่แตกต่างกันมากนัก
แต่ถ้าหากคุณไม่มีเวลาและความพร้อม ควรเลือกซื้อสุนัขที่โตแล้ว มีพัฒนาการทางร่างกายสมบูรณ์ การเลือกสุนัขโตนั้นถ้าต้องการจะฝึกสอนหรือเปลี่ยนพฤติกรรมของมัน อาจจะทำได้ยากกว่าการฝึกลูกสุนัข การฝึกลูกสุนัขโตต้องอาศัยความอดทนและใจเย็น เพราะการจะไปเปลี่ยนพฤติกรรมของสุนัขทันทีทันใดนั้น อาจจะทำให้สุนัขเกิดอาการก้าวร้าวอย่างชนิดที่คาดไม่ถึงหรืออาจจะทำร้ายเรา ก็ได้
 เพื่อโชว์หรือเพื่อดูเล่น
แม้ว่าสุนัขสายพันธุ์นี้จะเหมาะสำหรับเป็นสัตว์เลี้ยงไว้ดูเล่น หรือพึ่งพา เพราะความที่มันมีเชื้อสายดีก็ตาม แต่มันเป็นการดีที่เราจะถามตัวเองให้ชัดเจนไปเลยว่า จุดประสงค์ที่เราต้องการเลี้ยงสุนัขเพื่ออะไร เพื่อเราจะได้ตัดสินใจเลือกลูกสุนัขที่เหมาะกับความต้องการของเรา สุนัขไม่ว่าสายพันธุ์ใดก็ตามมีอยู่ด้วยกัน 2 เกรด ได้แก่ เกรด Show Quality คือลูกสุนัขตัวนั้นมีคุณสมบัติพิเศษที่มีมากกว่าลูกสุนัขในคอกเดียวกัน เช่น แม่สุนัขคลอดลูกออกมา 7 ตัว โอกาสที่จะมีลูกเกรด Show Quality อาจมีเพียง 1-2 ตัว หรืออาจไม่มีเลยก็ได้ ดังนั้นลูกสุนัขในเกรดนี้จะมีราคาสูงกว่าลูกสุนัขที่เหลือในคอก โดยเราจะเรียกกลุ่มที่เหลือว่า เกรด Pet Quality จะเหมาะสำหรับผู้ที่เลี้ยงเพิ่งเริ่มเลี้ยง ซึ่งราคาจะไม่แพงเท่ากับลูกสุนัขในเกรด Show Quality ผู้ที่ต้องการเลี้ยงไว้ดูเล่นก็สามารถซื้อได้ในราคาถูกกว่า เพราะลักษณะมันอาจจะไม่ตรงกับมาตรฐานหรือไม่สมบูรณ์แบบมากพอที่จะเป็นสุนัข ในเกรด Show Quality ได้ ทั่ว ๆ ไปแล้วผู้เลี้ยงที่ชำนาญจะสามารถระบุได้เลยถึงความแตกต่างระหว่างสุนัขที่ เลี้ยงไว้ดูเล่นกับสุนัขแข่งโชว์ สุนัขที่เลี้ยงไว้เพื่อโชว์นั้นจะมีราคาแพงกว่าสุนัขที่เลี้ยงไว้ดูเล่น เพราะมันสามารถเข้าประกวดแข่งขันได้ ถ้าถามว่าสุนัขเกรด Show Quality นี้ดูได้จากอะไร ส่วนมากผู้ผสมพันธุ์ (Breeder) ที่สหรัฐฯมักจะใช้การดูจากกะโหลก ขา สี ตา ข้อตะโพก หัวใจ ที่จะต้องตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ รวมไปถึงการเคลื่อนย้ายตัวอย่างสวยงาม พร้อมองค์ประกอบร่วมอีกหลายอย่าง
 ปัจจุบันการเลือกซื้อลูกสุนัขของคนไทยนั้น ความคิดส่วนใหญ่พออยากให้ลูกสุนัขก็ตรงไปซื้อเลย ซึ่งนับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ถูกต้อง ก่อนอื่นควรศึกษาถึงมาตรฐานสายพันธุ์ รูปร่างหน้าตา โครงสร้าง สีที่ถูกต้อง รวมไปถึงขนาดให้ดีเสียก่อน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการเลือกซื้อและตัดสินใจ บางคนซื้อสุนัขราคาถูกกว่ามาตรฐานและบอกว่าเกรดเดียวกัน ตอบได้เลยว่าคุณถูกคนขายต้มตุ๋นเข้าแล้ว
 มีสถานที่และเวลาที่เหมาะสมหรือเปล่า
 สถานที่นั้นนับเป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องคำนึงเป็นอย่างมาก ถ้าผู้ซื้อมีบ้านที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีสนามให้สุนัขวิ่งเล่นออกกำลังกายได้ นับว่าเป็นการดีอย่างยิ่ง เพราะสุนัขจำเป็นต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ รูปร่างจึงจะสวยงาม แต่ถ้ามีพื้นที่คับแคบ ก็ควรให้สุนัขเดินมาก ๆ เป็นประจำทุก ๆ วัน
สุนัขทุกตัวต้องการการดูแลและความรักจากผู้เป็นเจ้าของ เราจึงต้องสละเวลาบ้างเพื่อที่จะเล่นกับมัน พามันไปออกกำลังกาย แปรงขน ทำความสะอาด พาไปพบสัตวแพทย์ ฯลฯ
จะซื้อได้ที่ไหน
 ถ้าคุณต้องการเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ และจะเสาะหาสุนัขที่ต้องการ นับว่าเป็นงานหนักไม่น้อย บางครั้งก็ออกจะน่าเบื่อ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นงานที่สนุกและท้าทายไม่น้อยเลยทีเดียว สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือตระเวนไปตามร้านขายสุนัขหรือคอกเพาะพันธุ์สุนัข ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควรสังเกตก็คือ ที่ตั้งและขนาดของสถานที่หรือคอกนั้น ๆ จะต้องสะอาด เพราะถ้าการจัดการของฟาร์มใดที่คุณจะซื้อดูสกปรก เลอะเทอะ ไม่เป็นระเบียบ อึดอัด คับแคบ ไม่มีที่ให้สุนัขวิ่งเล่นเพื่อออกกำลังกาย ก็อาจส่งผลกระทบให้พ่อพันธุ์-แม่พันธุ์เกิดอาการเครียด ซึ่งจะส่งผลไปยังลูกสุนัขที่เกิดมา แถมความสกปรกยังอาจเป็นตัวนำเชื้อโรคมาสู่ลูกสุนัขได้อีกด้วย ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ย่อมส่งผลต่อสุขภาพของลูกสุนัข
วิธีการคัดเลือกลูกสุนัขอย่างถูกต้องก่อนตัดสินใจซื้อนั้น คุณต้องเริ่มดูตั้งแต่พ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ของตัวลูกสุนัข แม่พันธุ์จะต้องมีลักษณะที่ดี ตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ มีคุณภาพไม่แพ้พ่อพันธุ์เช่นกัน เพราะถ้าแม่พันธุ์ดีการให้ลูกก็จะมีคุณภาพดีเช่นกัน สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือดูแววตาว่าสดชื่นหรือเปล่า พ่อพันธุ์ที่ดีจะต้องมีการออกกำลังกายอยู่เสมอ และกินอาหารอย่างถูกต้องครบถ้วน จากนั้นก็ดูที่ข้อตะโพกหรือ Hip ว่าการเดินทางการเคลื่อนตัวไปข้างหน้ามีการเจ็บหรือขัดหรือเปล่า สุดท้ายก็เรื่องของสี
ส่วนของแม่พันธุ์ก็จะดูถึงขนาดว่าใหญ่เกินมาตรฐานหรือเปล่า หรือเล็กเกินไป เคยถ่ายลูกออกมาแล้วเป็นอย่างไรบ้าง มีปัญหาตามมาหรือเปล่า แม่พันธุ์หรือพ่อพันธุ์ที่ดีควรผสมเมื่ออายุ 2 ปี ขึ้นไป หรือช่วงเป็นสัดครั้งที่ 3 เพื่อจะได้โตเต็มที่ และถ่ายลูกออกมาได้คุณภาพมากที่สุด เมื่อคุณพอใจกับพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์แล้ว ขั้นต่อไปก็ขอดูใบ Pedigree พ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ ประวัติสายเลือดเพิ่มเติมเสียหน่อย ว่ามีสายเลือดใกล้ชิดกันหรือเปล่า สายเลือดเคยเป็นแชมเปี้ยนหรือเปล่า เพราะคำกล่าวที่ว่า "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น" นั้นยังใช้ได้ดีอยู่ สิ่งเหล่านี้เราสามารถสอบถามได้จากเจ้าของคอกเพาะพันธุ์ เพื่อให้ทราบถึงรายละเอียดในการนำมาพิจารณาตัดสินใจเลือกซื้อสุนัข
และอีกประการหนึ่งเราต้องคำนึงถึงความมีชื่อเสียงของคอกเพาะ พันธุ์ ข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้มา ก่อน ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยคอกเพาะพันธุ์สุนัขที่เชื่อถือได้
ผู้ผสมพันธุ์และคอกเพาะพันธุ์ที่ไว้ใจได้ แนะนำให้คุณนำลูกสุนัขไปตรวจเช็คร่างกาย และจะให้เวลาคุณอย่างน้อย 2 วันเพื่อรอผล ถ้าหากผลการตรวจสุขภาพออกมาไม่เป็นที่พอใจ คุณสามารถนำเหตุผลไปให้ที่ร้านเพื่อเลือกลูกสุนัขตัวใหม่ หรือขอเงินคืนก็ได้ (ขึ้นอยู่กับข้อตกลง) ควรแน่ใจว่าคุณได้ทำทุกอย่างตามคำแนะนำก่อนจะซื้อลูกสุนัข
แต่สุดท้ายก็ขอเตือนผู้ที่จะเลือกซื้อสุนัขสายพันธุ์ดีมาเลี้ยง กับเขาสักตัว ต้องเชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้ ควรสังเกตหรือพิจารณาตามหลักความจริง อย่าหลงเชื่อคำพูดของผู้ขายเสียทั้งหมด ไม่เช่นนั้นอาจต้องมานั่งเสียใจภายหลัง เสียทั้งเงินและเสียทั้งความตั้งใจเปล่า ๆ
สัญลักษณ์แห่งสุขภาพที่ดี
การเลี้ยงสุนัขดีเป็นมิตรที่ดีกับครอบครัว ต่างจากสุนัขที่เอาไว้โชว์ ซึ่งจะยุ่งยากขึ้นเล็กน้อย บ่อยครั้งที่ลูกสุนัขเตะตาคุณอย่างจัง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องเรียกว่าเป็นรักแรกที่อาจเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย ที่กล่าวว่ามันเป็นสุนัขที่เกิดมาสำหรับคุณ ถ้าเราเชื่อสายตาและมือของเรา ก็จะบอกได้ว่าสุนัขตัวนี้รู้สึกอย่างที่เรารู้สึกหรือไม่ เมื่อคุณเลือกซื้อลูกสุนัขมาเลี้ยง จงอย่างรีบร้อนในการเลือกหา ยิ่งได้ศึกษาเกี่ยวกับลูกสุนัขนานแค่ไหน คุณก็ยิ่งเข้าใจลูกสุนัขมากแค่นั้น หลักพิจารณาในการเลือกซื้อสุนัข คือ
1. มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง มีอายุสมขนาดของตัวที่ควรจะเป็น ไม่ใช่ตัวเล็กหรือใหญ่เกินไป ดูสมส่วน ร่าเริง ชอบเล่น ไม่อยู่นิ่ง ไม่หงอยเหงาเศร้าซึม ไม่แสดงกิริยาก้าวร้าวหรือตื่นตกใจเกินเหตุ ท่าทางการเดินหรือวิ่งเป็นปกติ ขาแข็งแรง เมื่อยกลูกสุนัขขึ้น โดยใช้สองมือประคองที่ขาหนีบหน้าของสุนัขเป็นปกติดีหรือไม่ ไม่มีอาการใด ๆ ที่แสดงว่าเจ็บป่วย
 2. เปิดดูภายในช่องหู ควรจะแห้ง สะอาด ไม่มีกลิ่นเหม็น ปราศจากก้อนแข็ง ๆ รอยแผลและ สิ่งสกปรก จมูกเย็นชื้น (ถ้าแห้งแสดงว่าไม่สบาย) สะอาด ไม่มีน้ำมูก
 3. เปิดปากสำรวจลิ้น ฟัน และเหงือก โดยลิ้นและเหงือกควรมีสีชมพู และเขี้ยวควรอยู่ตำแหน่งที่ เหมาะสม
 4. ดวงตาต้องสดใสเป็นประกาย สว่าง ไม่ขุ่นมัว สะอาด และปราศจากขี้ตาและน้ำตา สุนัขควร ลืมตาได้เป็นปกติ ไม่มีอาการกระพริบตาบ่อย ๆ ควรหลีกเลี่ยงสุนัขที่ใช้อุ้งเท้าแคะตาบ่อย ๆ
  5. ขนเป็นมันเงา นุ่ม ใช้ฝ่ามือลูกขนสุนัขให้ทั่ว เพื่อสำรวจผิวหนัง รอยแผลเป็น ฝุ่นดำ ๆ ซึ่งเป็น ไข่ของเห็บหรือหมัด ให้ดูด้วยว่าขณะลูกสุนัขแสดงอากาศเจ็บปวดหรือไม่
 6. ดูใต้หางของสุนัขว่าทวารหนักปราศจากรอยเปื้อนของอุจจาระ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสุนัขกำลัง ท้องเสีย
 7. สุนัขไม่ไอหรือแสดงอาการอื่น ๆ ที่ผิดปกติ เช่น ท้องไม่โต หรือป่องเกินไป เพราะอาจมีพยาธิ
   8. ส่วนเรื่องของสี ในการดูลูกสุนัขนั้นไม่ใช่ว่าจะเข้มหรืออ่อนเพียงอย่างเดียว ควรดูตำแหน่งของ สีหรือจุดแต้มสีด้วยว่าออกโทนเดียวหรือเปล่า สีเป็นส่วนหนึ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม สุนัขบางตัวรูปร่าง ทุกอย่างสวยหมด แต่ตำแหน่งของสีผิดเพี้ยนไปก็จะกลายเป็นข้อบกพร่องไป