Puinoon Trip Blogger

สวัสดีครับทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชม Blog ของผม ก่อนอื่นผมต้องขอบอกก่อนเลยนะครับว่า จุดประสงค์ที่จัดทำ Blog นี้ขึ้นมานี้ก็เพื่อที่จะจัดเก็บและรวบรวมสิ่งต่างๆ ที่ตัวผมเองนั้นชื่นชอบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยว การถ่ายรูป การแต่งภาพ การเล่นกีต้าร์ การทำอาหาร และสิ่งต่างๆอีกมากมาย หวังว่าจะเป็นประโยชน์ กับ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หรือบุคคลทั่วไปที่สนใจและชื่นชอบในสิ่งเดียวกับที่ผมชอบ ไม่มากก็น้อย ผมหวังว่า Blog นี้ จำทำให้หลายๆคน ได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์และความรู้ไม่มากก็น้อย ผมจะพยายามหาสิ่งที่มีประโยชน์และความรู้มาให้ชมกันอีกนะครับ ขอบคุณมากครับ ..... >>>ปุยนุ่น<<<


วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

กระเป๋ากล้องทำไมต้อง Domke

Domke

กระเป๋ากล้อง DOMKE

กระเป๋ากล้อง Domke เป็นกระเป๋ากล้องที่ผลิตในประเทศอเมริกา (made in USA) ส่วนใหญ่ที่นิยมใช้กัน มีอยู่ 3 รุ่นครับ คือ F-2 , F-3X และ F-5XB ซึ่งเป็นกระเป๋ากล้องสำหรับสะพายข้างนะครับ (สะพายหลังแบบเป้ก็มีแต่คนไม่ค่อยนิยม) ตัวกระเป๋าทำมาจากผ้า Canvas และผ้า ballistic ส่วนรุ่นอื่นๆก็มีอีกหลายรุ่นนะครับ แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยม ผ้าที่นิยมกันกันคือ Canvas ซึ่งรุ่น F-2 จะใหญ่กว่ารุ่น F-3X จากประสบการณ์ที่เคยใช้ถ้ามีคนถามว่ากระเป๋า Domke ดีอย่างไร ตอบได้เลยว่า "แพงดีครับ" อีกอย่างคือ เท่ดี(มั้ง) ความคงทนปลานกลาง แค่นี้จริงๆ ตัวกระเป๋าไม่สามารถกันฝุ่น กันละอองน้ำ และกันกระแทกได้


DOMKE F-2

Domke F2 เป็นรุ่นยอดนิยมของตากล้องครับเพราะสามารถใส่ Body กล้องได้ถึง 2 ตัวและเลนส์อีก 3-4 ตัวเลยทีเดียว มีกระเป๋าเล็กๆ ด้านข้างทั้งสองและด้านหน้า สามารถเก็บอุปกรณ์กล้องเล็กๆน้อยๆ เช่น สายลั่นชัตเตอร์ ที่ชาร์ท และอื่นๆได้อีกมากเลยทีเดียวครับ สีของกระเป๋าส่วนมากจะเป็นสีพื้นๆครับ เช่นสีน้ำเงิน (Navy Blue) , สีน้ำตาล (Sand) , สีดำ (Black) , สีเขียวขี้ม้า (Olive Green) และ เทา (Grey)


DOMKE F-3X

Domke F3X เป็นรุ่นยอดนิยมของตากล้องอีกหนึ่งรุ่นครับเพราะสามารถใส่ Body กล้องได้ 1 ตัวและเลนส์อีก 2-3 ตัว มีกระเป๋าเล็กๆ ด้านข้างทั้งสองและด้านหน้า สามารถเก็บอุปกรณ์กล้องเล็กๆน้อยๆ เช่น สายลั่นชัตเตอร์ ที่ชาร์ท และอื่นๆได้อีกมากเลยทีเดียวครับ สีของกระเป๋าส่วนมากจะเป็นสีพื้นๆครับ เช่นสีน้ำเงิน (Navy Blue) , สีน้ำตาล (Sand) , สีดำ (Black) , สีเขียวขี้ม้า (Olive Green) และ เทา (Grey)

ภายในกระเป๋า Domke F-3X

สายกระเป๋าจะมียางสีดำๆถักไว้กับสายเพื่อกันลื่นแต่เมื่อเวลาใช้ไปนานๆยางจะแข็ง กรอบ และแตกหลุดออกจากสาย ทำให้สายด้ายในเป็นด่างๆ เมื่อมองเห็นทำให้ไม่สวย แต่ดูเซอร์ (หรือเปล่า) และวัสดุที่ใช้ล็อคทำจากเหล็กซึ่งเมื่อใช้ไปนานๆ สีดำจะร่อนออก อีกเช่นกัน 


สายกระเป๋าจะมียางสีดำกันลื่น

      สุดท้ายก็แล้วแต่ความชอบส่วนตัวเลยครับว่ารับได้กับประสิทธิภาพของมันหรือเปล่า ถ้ารับได้ก็ซื้อเลยครับ ราคาขายต่อไม่ขาดทุนเยอะครับเพราะว่าเก่าๆเซอร์ดีครับ แต่บางคนก็ชอบแข็งๆ ความชอบส่วนตัวอีกแหละครับ พูดยาก อืม.. ลืมบอกครับ  รุ่นที่ทำจากผ้าไนลอน ballistic สามารถกันน้ำได้ และรุ่น  Ruggedwear ที่เป็นรุ่นล่าสุดก็สามารถกันละอองน้ำได้นิดหน่อย 


รูปโลโก้ Domke ด้านข้างกระเป๋า

อีกนิดแล้วกันนะครับ พอพูดถึงโลโก้ Domke ก็เลยอยากเล่าประวัติย่อๆให้ฟังกันสักหน่อยครับ
         Domke (ดอมเก้) เจ้าแบรนด์นี้กำเนิดโดยนาย จิม ดอมเก้ (Jim Domke) ช่างภาพหนังสือพิมพ์ชาวอเมริกา คือเขามีความคิดว่าน่าจะทำให้มันเบาสะพายง่าย ซึ่งจะสะดวกต่อการเดินทางไปยังที่ต่างๆ เห็นดังนั้นจึงเริ่มผลิตตัวกระเป๋าขึ้นในช่วงปี1975เป็นชุดแรกโดยได้รับการ สั่งซื้อจากหนังสือพิมพ์ที่เขาทำงานนั้นแหละ และต่อมาก็ออกรุ่นต่างๆตามมาจนเป็นที่ยอมรับรู้จักในช่วงหน้าร้อนปี1976 จนในปี1990เมื่อธุระกิจขยายตัวขึ้นก็ได้ขายต่อให้บริษัท Saunders เข้ามาดำเนินการต่อ จนท้ายสุดในปี1999 ทางบริษัท Tiffen ก็เข้ามารับช่วงต่อเพื่อขยายตลอดออกประเทศต่างๆจนปัจจุบันครับ

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

รู้ก่อนเลี้ยง สุนัขบางแก้ว


สุนัขพันธุ์ไทยบางแก้ว

หมาบางแก้ว

      หมาบางแก้วมีแหล่งกำหนดที่วัดบางแก้ว ต.บางแก้ว อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นแหล่งชุมชนริมแม่น้ำยมในอดีตชาวบ้านอาจเลี้ยงไว้บ้านละตัวสองตัว แต่ถ้าเป็นสิบ ๆ ตัวต้องที่วัดบางแก้ว โดยหลวงพ่อมาก สุวัณณโชโต (เมธาวี) ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบางแก้วรุ่นที่ 3 (ราว พ.ศ. 2405) มีเป็นฝูง และขึ้นชื่อเรื่องความดุที่คนละแวกนั้นทราบกันดี ในสมัยโบราณคนจะเลี้ยงหมาดุไว้เฝ้าบ้าน เฝ้าทรัพย์สิน บริวาร หรือปศุสัตว์ที่เลี้ยงไว้กินไว้ขาย แต่ในความดุดันนั้นยังคงไว้ซึ่งความจงรักภักดีต่อผู้เป็นนาย เมื่อทราบกิตติศัพท์หมาดุแห่งวัดบางแก้ว ชาวบ้านได้มาขอลูกหมาจากวัดไปเลี้ยงต่อ ๆ กันไป สันนิษฐานกันว่าหมาบางแก้วมาจากการผสมข้าวพันธุ์ระหว่างสุนักพันธ์ ไทยโบราณเพศเมียกับหมาจิ้งจอกและหมาไน เนื่องจากลักษณะเด่นที่หมาบางแก้วได้รับการถ่ายทอดจะมาจาก 3 สายพันธุ์นี้เป็นหลัก กล่าวคือ 
     
       1.หมาจิ้งจอก (Canis Auresus) มีอยู่ด้วยกัน 4 ชนิด
    หมาจิ้งจอกทองหรือหมาทอง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า คานิส ออรีอัส (Canis Aureus) มีลักษณะคล้ายหมาป่าวูล์ฟ ขนาดเล็ก มีอยู่อย่างกระจัดกระจายตั้งแต่อัฟริกาใต้ไปจนถึงอัฟริกาเหนือ มีขนสีน้ำตาลปนเหลือง ส่วนหลังและหางจะแซมด้วยขนสีดำ
   หมาจิ้งจอกหลังดำ (Black-backed) หรือหลังอาน  มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า คานิส เมโวเมลาส์ (Canis Mesomlas) พบในอัฟริกาตอนกลาง อัฟริกาใต้ ที่หลังมีขนยาวสีดำปนขาวแผ่กระจายเต็มหลังไปจนถึงบริเวณหางคล้ายกับอานม้าและใบหูใหญ่
    หมาจิ้งจอกข้างลาย  มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า คานิส เอดัสตัส (Canis Adustus) หมาจิ้งจอกพันธุ์นี้มีขนสีเทาและมีขนสีดำพาดเป็นทางด้านข้างของลำตัว ที่ปลายหางจะมีสีขาว พบในอัฟริกาเขตร้อน
    หมาจิ้งจอกไซเมี่ยน แจ็คกัล (Simian Jackal)  มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า คานิส ไซเมนซิส (Canis Simensis) พบในเขตที่ราบสูงเอธิโอเปีย มีรูปร่างและขนาดอยู่ระหว่างหมาจิ้งจอกฟ๊อกซ์ (Fox) และหมาป่าวูล์ฟ (Wolf) แต่ดูแล้วจะเหมือนหมาจิ้งจอกฟ๊อกซ์ (Fox) มากกว่า ลักษณะที่เด่น ๆ คือ หูตั้ง ใบหูใหญ่ ปลายหูแหลม ลำตัวค่อนข้างยาว ขนตามลำตัวสีแดง ส่วนขนที่ใต้คอสีขาว และมีแนวขนสีแดงแก่พาดรอบคอ ขายาว บนที่บริเวณปลายขาจะมีสีขาว หางเป็นพวง โคนหางขาวปลายโคนหางประมาณ 100 เซนติเมตร (40 นิ้ว) หรือ 1 เมตร หางยาว 30 เซนติเมตร (10 นิ้ว) น้ำหนัก 10 กิโลกรัม (22 ปอนด์) ตามธรรมชาติจะชอบอยู่เป็นคู่หรืออยู่ลำพังตัวเดียว หมาจิ้งจอกพันธุ์นี้นับว่าเป็นหมาที่มีขนาดใหญ่ แต่ชนิดที่มีอยู่ในแถบเอเชียและที่พบในประเทศไทยนั้นเป็นชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Canis Aureus Indicus (คานิส ออริอัส อินดิคัส) ขนของหมาจิ้งจอกจะมีสีน้ำตาลปนเทา มีลายกระดำกระด่างเปรอะ ๆ ไม่มีสีพื้นแดงสนิมเหมือนอย่างขนของหมาไน นอกจากนั้นแล้วยังมีขนยาวปกคลุมรอบคอเป็นแผงใหญ่ ขนในบริเวณนี้ปลายขนจะมี สีดำ ขนตามลำตัวจะมีลักษณะเป็นขนสองชั้น แผ่นชี้ปกคลุมตั้งแต่ท้ายทอยลงมาถึงกลางหลังเรื่อยลงไปจนถึงโคนหาง มีลักษณะคล้ายกับอานม้ามากกว่าขนที่กลางหลังของหมาไทยพันธ์หลังอานเสียอีก เพราะขนที่หลังของหมาหลังอานเป็นขนชนิดที่ย้อนกลับคล้าย ๆ กับขวัญ หางของหมาจิ้งจอกจะสั้นกว่าหางของ หมาไนและขนที่หางจะมีสีดำเพียง 1 ใน 3 ส่วนหมาไนนั้นขนที่หางจะมีสีดำ    ความสูงประมาณ 40 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 7-14 กิโลกรัม (15-31 ปอนด์) ความยาวของลำตัววัดจากหัวถึงโคนหางประมาณ 60-70 เซนติเมตร (24-30 นิ้ว) ความยาวของหางวัดจากโคนหางถึงปลายหางประมาณ 23-25 เซนติเมตร (9.2-14 นิ้ว) สำหรบขาขอหมาจิ้งจอกจะเล็กและยาวเรียวเวลาก้าวย่างเดินจะโหย่งเท้า  กะโหลกศีรษะอยู่ในจำนวนพวกสกุลคานิส ลักษณะของจมูกจะยาว แต่จมูกไม่ดำ ลำตัวกลมและแข็งแรง สันกลางต่ำ โค้งกว้างแตกต่างกับหมาไน ซึ่งมีจมูกสั้นและจมูกสีดำ หน้าผากของหมาจิ้งจอกค่อนข้างจะแบนเล็กน้อย หน้าแหลม หูตั้งป้องไปด้านหน้า
 2.หมาไน (Asiam Wild Dog)
    มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cuon Alpinus ชื่อเมือนหรือชื่อพ้องคือ Canis Javanicus หรือ Canis Rutiland) บางครั้งก็เรียกว่าหมาไนว่า "หมาแดง" (Red dog) มีลักษณะแตกต่างกว่าหมาจิ้งจอก คือ มีสีแดงสนิม (Rush red) ตลอดทั้งตัว ไม่มีแผงคอเหมือนหมาจิ้งจอก หางมีสีดำ ความยาวของหาง 40-50 เซนติเมตร (16-20 นิ้ว) ความยาวของลำตัววัดจากหัวถึงโคนหาง 88-113 เซนติเมตร (35-45 นิ้ว) น้ำหนักตัว 14-21 กิโลกรัม จึงมีลักตัวยาวเพรียวกว่าหมาจิ้งจอกและท้องไม่คอดกิ้วเช่นหมาไทยพื้นบ้าน  หมาไนตัวใหญ่กว่าหมาจิ้งจอก มีสีเดียวกันตลอดทั้งตัว (มากกว่าหมาจิ้งจอก) หางยาวและสีเข้มกว่า จมูกเข้มกว่า และสั้นกว่า ภายในหูมีขนขาวละเอียดอ่อนปกคลุม ปลายหูกลมมน ไม่แหลมเหมือนหมาจิ้งจอก มีขนตามลำตัวสีแดงสนิม ขนยาวกว่าหมาจิ้งจอก ขนที่แผงคอไม่มี (หมาจิ้งจอกมี) เท้าและขนที่หางมีสีดำ ลูกที่เกิดใหม่จะมีสีดำคล้ำ เมื่อโตขึ้นสีจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงสนิม  กะโหลกศีรษะคล้ายกับของหมาจิ้งจอก แต่ใหญ่กว่า จมูกกว้างและส่วนหน้าแบนกว่า เบ้าตาต่ำกว่า รูปร่างฐานเบ้าตาสั้นกว่าและทื่อค่อนไปทางข้างหน้า ลักษณะฟันไม่เหมือนกัน ไม่มีกรามที่สามด้านล่าง กรามล่างอันแรกมีเพียงเขี้ยวเดียว (แต่ในหมาจิ้งจอกมี 2 เขี้ยว) ปากอมสีน้ำตาลเข้มหรืออาจมีสีขาวปน หางเป็นพวกห้อยลงดิน  ส่วนมากจะหลบซ่อนตัวอยู่ในที่ร่มหรือโพรงดินตื้น ๆ เห่าเสียงธรรมดาถี่ ๆ แต่เมื่อตกใจจะร้องเสียงแหลม หมาไนสามารถกระโดดได้ไกล 3-3.5 เมตร เวลาวิ่งกระโดดไกล 5-6 เมตร และสูง 3-3.5 เมตร เวลาล่าเหยื่อที่เป็นสัตว์ใหญ่กว่าจะรวมตัวกันเป็นฝูง 6-8 ตัว จนถึง 20 ตัว หาเหยื่อได้โดยการดมกลิ่น และสะกดรอยไปจนเห็นเหยื่อ จากนั้นจะไล่เหยื่อไปจนเหนื่อยอ่อนและจนมุม
   3.หมาไทยพื้นบ้าน
    ขนตามลำตัวสั้นเกรียน ละเอียดเป็นเงา หูตั้ง ปลายหูแหลม แข้งขาเล็กเรียวคล้ายขาเก้ง อุ้งเท้าเล็ก ลำตัวค่อนข้างยาวเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หางมีหลายรูปแบบคือหางกระรอก หางงอม้วนเป็นก้นหอยหรือขนมกง


ลูกสุนัขพันธุ์ไทยบางแก้ว

 พันธุกรรมที่ได้รับ

    จากหมาจิ้งจอก
ลักษณะต่าง ๆ ทางพันธุกรรมที่หมาบ้างแก้วได้รับจากหมาจิ้งจอกที่เห็นได้ชัดคือ
 ข้อเท้า    เอนเข้าหาตัวเพียงเล็กน้อย
เขี้ยว    ที่เล็กและแหลมคม
    สีขน    มีลักษณะจุดประหรือแต้มด่าง ซึ่งในหมาไทยทั่วไปไม่มี
    เส้นขน    หยาบเป็นมันส่องประกายแวววาว ส่วนมากจะเหยียดตรงหรือหยิกฟูนุ่มมือน้อยกว่าหมาไทยลูกผสมอื่นๆ ลูกหมาบางแก้วอายุ 1-2 เดือน ขนจะหยาบกระด้างกว่าขนของหมาจู
    ขน    เป็นขนยาวสองชั้น โดยขนชั้นในสั้นเป็นปุยและละเอียดอ่อนนุ่มเหมือนปุยฝ้าย ขนชั้นนอกยาวฟู บริเวณกกหู คอ ใต้คาง และแผงอกแผ่กระจายดูคล้ายคอสิงห์โต ขนที่สีข้างจะค่อนข้างยาว
    หู    คล้ายหมาจิ้งจอก มีขนปุกปุยในรูหูและโคนกกหูด้านนอก

    จากหมาไน
    พันธุกรรมที่หมาไนถ่ายทอดมาสู่หมาบางแก้วที่สังเกตได้คือ
    ขน    หมาบางแก้วบางตัวมีขนสีน้ำตาลแดงหรือสีสนิมแต้มอยู่บริเวณแก้ว ลำตัว อุ้งเท้า ถ้าเป็นเพศเมียจะมีบริเวณอวัยวะเพศอย่างเห็นได้ชัด
    หู    เล็กสั้นและตั้ง
    ลำตัว    ลำตัวจะยาวและท้องไม่กิ่วเหมือนหมาไทยพื้นบ้าน
    หาง    อาจมีขนสีดำที่โคนและปลายหาง
    ขา    ใหญ่กว่าหมาไทยทั่วไป
    ปาก    บางตัวปากมอม ซึ่งในหมาจิ้งจอกจะไม่มีปากมอม

    จากหมาไทยพื้นบ้าน

    พันธุกรรมอื่นๆ ที่นอกเหนือจากที่กล่าวมา หมาบ้างแก้วได้รับการถ่ายทอดจากหมาไทยพื้นบ้าน โดยเฉพาะหางที่โค้งงอขึ้นบน

มาตรฐานสายพันธ์สุนัขบางแก้ว

    ชมรมผู้อนุรักษ์และพัฒนาสุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว จ.พิษณุโลก เป็นหน่วยงานแรก ๆ ที่ได้ประชุม ตกลงร่างมาตรฐานหมาบางแก้วขึ้นมา (ในปี พ.ศ. 2534ป และได้ถือเป็นแบบอย่างมาเท่าทุกวันนี้
    หมาบางแก้วจะเดินหรือวิ่งเหยาะ ๆ ท่วงท่าสวยงาม ปกติจะวิ่งซอยเท้าถี่ ๆ สง่างาม บางตัวเวลาเดินเห็นแผงขนบนสันหลังยกขึ้นดูสง่างามเฉกเช่นม้าย่างเท้าสวนสนาม ขึ้นชื่อมากเรื่องความดุ มีความซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ รักและหวงเจ้าของ ไม่ชอบคนแปลกหน้า มีความสามารถในการดมกลิ่นเป็นเลิศ จำเสียงได้ แม่นยำ กินอาหารง่าย มีความกล้าหาญ กล้าที่จะสู้กับสุนัขที่ตัวโตกว่า มีประสาทตื่นอยู่เสมอแม้นอนหลับ เป็นสุนัขที่ชอบเล่นน้ำ เมื่อหมอบข้อศอกจะแนบกันพื้นและเท้าหลังจะแบออกทั้งสองข้าง ก่อนจะกินน้ำในอ่าง ชอบเอาเท้าหน้าข้างหนึ่งข้างใดจุ่มลงไปในอ่างก่อน เวลาขู่จะเหยียดขาหน้าพุ่มไปข้างหน้า แล้วผงกหัวและแผงขนหลังตั้งขึ้นพร้อมกับส่งเสียงขู่ ชอบกินเนื้อสัตว์และปลา เนื่องจากหมู่บ้านบางแก้ว อาชีพหลักของชาวบ้านแถบนั้นคือจับปลา ค้าปลาน้ำจืด และเลี้ยงสุนัขไว้บนแพ อาหารที่ได้จึงหลีกไม่พ้นปลา แต่อาหารอื่นก็กินได้เช่นกัน
     


หัวกะโหลก กะโหลกใหญ่ ปากยาวแหลม คอยาวกว่าหมาไทยทั่วไป กะโหลกศีรษะและปากรับกันเป็นรูปสามเหลี่ยม หูเล็กสั้นตั้งป้องไปข้างหน้า ปลายหูเบนออกข้างเล็กน้อย โคนหูทั้งสองอยู่ห่างกันมากกว่าหมาไทยหลังอาน จึงใช้เป็นจุดเด่นในการสังเกตว่าเป็นหมาบางแก้ว ตาเล็กกลมรี พื้นสีตาเป็นสีเหลืองทองคล้ำ ม่านตาตรงกลางสีดำ มีแววของความไม่เชื่อใจใครง่าย ๆ ขณะโกรธหรือขู่จะขึ้นแววฟ้าใส แววที่เรียกว่า "ตาเขียว" จมูกสีดำ ฟันซี่เล็กขาวคม มีเขี้ยวข้าบน 2 ล่าง 2 ลิ้นเป็นสีชมพู ส่วนมากไม่มีปากดำเหมือนหมาไทยหลังอาน
หู มี 2 ลักษณะ คือ ถ้าหากใบหูใหญ่ปลายหูกลมมน ภายในหูมีขนปกคลุมปิดรูหูเป็นลักษณะของหูสุนัขจิ้งจอก แต่ถ้าหูเล็กสั้นมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ตั้งป้องตรงไปข้างหน้า ปลายหูเบนออกไปทางด้านข้างเล็กน้อย จะเป็นลักษณะของหูหมาไน ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก หูของหมาบางแก้วส่วนมากที่ขอบใบหูจะมีลักษณะเป็นสันเล็ก ๆ มีขนอ่อนปกคลุมอยู่ภายในหู และที่กกหูด้านนอกจะมีขนปุยนุ่มปกคลุมมากบ้างน้อยบ้าง
ตา มีลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยมคล้ายตาเสือ ที่ทำเป็นเซื่องซึม แต่เมื่อเจอะเจอคนแปลกหน้าจะมีแววดุวาวและเขียวปั๊ด 
ปาก ปากแหลมเรียวกว่าสุนัขไทยทั่ว ๆ ถ้าหากมองจากหน้าหน้าจะสังเกตเห็นว่าหัวกะโหลกลงมายังปากจะแคบสอบลงไปเรื่อย ๆ คล้ายกับสามเหลี่ยม ถ้าหากสีของลำตัวด่างแดงสนิมกับขาวหรือดำขาวบริเวณปากจะมีสีขาวผ่านตลอดใต้ คางที่ปลายปาก ซึ่งคล้ายคลึงกับลักษณะของสุนัขจิ้งจอกและหมาไน ซึ่งคนไทยโบราณเรียกว่า ปากคาบแก้ว ถ้าเป็นสีปลอดมักจะไม่มี ฟันแข็งแรง เขี้ยวเล็ก แหลมคม
คอ ใหญ่ หนา และแข็งแรงมาก เมื่อโตเป็นหมาหนุ่มสาวจะต้องใช้โซ่และปลอกคอที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรง เพราะเวลากระโดดหรือกระชากจะได้ไม่ขาดง่าย
หาง โคนหางใหญ่ โค้งงอไปข้างหน้า ถ้าปลายคางจรดกลางหลังไม่ไพล่ไปข้างใดข้างหนึ่งของลำตัวจะสวยงามมาก ขนที่หางจะยาวตั้งเป็นพุ่มกระจายเป็นพวงโค้งไปข้างหน้า ปลายหางจรดหลัง หางที่ขอดเป็น วงกลมหรือหางที่มีลักษณะอื่นๆ มิได้หมายความว่าไม่ถูกต้องตามลักษณะของหมาบางแก้ว ทั้งนี้เนื่องจากลักษณะของหางที่โค้งงอไปบนหลังนั้นเป็นลักษณะเด่นทางพันธุ กรรมของหมาไทย ส่วนหางที่มีลักษณะเป็นพุ่มพวงนั้นเป็นลักษณะเด่นทางพันธุกรรมของหมาไนและ หมาจิ้งจอก ด้วยเหตุผลดังกล่าวหมาพันธุ์ บางแก้วส่วนมากจังมีหางโค้งเป็นครึ่งวงกลมหรือวงกลม แต่เป็นพวงสวยงาม









พอสรุปลักษณะเด่นของหากได้ 3 แบบ คือ

1. หางตั้งโค้งไปข้างหน้า บางตัวหางจะเหยียดตรงวางทาบไปบนหลัง
2. หางพุ่งไปด้านหลังแล้วโค้งตั้งขึ้นเหมือนหางดาบ ถ้าหางยาวจะโค้งมาจรดหลัง ถ้ายาวมากจะเบี่ยงลงข้าง ถ้าหางเป็นพวงใหญ่มีน้ำหนักมาก หางจะไพล่ห้อยลงข้างตัว ซึ่งส่วนใหญ่หมาบางแก้วจะมีหางลักษณะนี้
3. หางเป็นพวงลาดแบบแทงดิน ยาวห้อยลงอย่างหางม้า เวลาดีใจ เมื่อเดินทางหรือวิ่งจะ แกว่งหางไปมา เวลายืนหากมั่นใจว่าปลอดภัยจะยกหางสูงขึ้นเลยระดับตัวเล็กน้อย เรียกว่าหางจิ้งจอก

ขน
เนื่องจากหมาบางแก้วเป็นลูกผสมที่มี 3 สายเลือด คือ หมาใน หมาจิ้งจอก และหมาไทยพื้นบ้าน ลักษณะสีขนจึงมีสีดังต่อไปนี้คือ สีน้ำตาลแก่สีขาวปลอด สีดำปลอด สีด่างขาวน้ำตาล สีด่างขาว-ดำ และ สีนาค ซึ่งปัจจุบันนี้คงจะสูญพันธุ์ไปแล้ว หมาบางแก้วยังมีลักษณะเด่นอยู่อย่างหนึ่งคือจะมีจุดแต้มตามลำตัว และที่ขา ถ้าสุนัขสีดำ-ขาว จุดแต้มก็จะมีสีน้ำตาลแดง
ขนตามลำตัว
  มีลักษณะเป็นขนสองชั้น ชั้นแรกเป็นขนตามลำตัว เป็นขนที่สั้นและอ่อนนุ่มและหนากว่าขนชั้นที่ 2 ขนชั้นที่ 2 เป็นขนเส้นยาว ๆ เริ่มต้นจากท้ายทอย ผ่านต้นคอแผ่กระจายลงไปถึงหนอกหลัง กลางหลัง และโคนหาง บริเวณนี้มีลักษณะคล้ายอานม้า ขนที่บริเวณอกค่อนข้างหนาคล้ายแผงคอ ขนที่สีข้างค่อนข้างยาว สำหรับลูกสุนัขที่มีอายุประมาณ 1-2 เดือน มักจะมีขนหนาปุกปุยและเส้นละเอียดอ่อนนุ่มมือ
 ขาหลัง
จะขนานกัน เอนลาดไปข้างหลังเล็กน้อย บริเวณแก้วก้นหรือต้นขาส่วนใหญ่จะมีขนยาวปุกปุยคล้ายปุยนุ่นปกคลุมบริเวณ แก้มก้นและแถบใต้โคนหาง เวลาเคลื่อนไหวจะรับกับหางที่ปัดไปปัดมา
ขา
ขาหน้าเหยียดตรงขนานกัน แต่ค่อนข้างใหญ่กว่าขาหลัง และใหญ่กว่าหมาไทยทั่วๆ ไป บริเวณโคนขาส่วนที่ติดกับลำตัวจะมีขนเส้นยาว ๆ ซึ่งชาวบ้านนิยมเรียกว่า "ขาสิงห์"
นิ้ว
ชิดติดกันที่นิ้วของหมาที่อายุน้อยจะมีขนยาวปกคลุมคล้ายนิ้วเท้า ของสุนัขจิ้งจอก ซึ่งต่างกับหมาไทยทั่ว ๆ ไปที่อายุยังน้อย ๆ อยู่นั้น ขนที่นิ้วเท้าจะไม่ยาว จะเริ่มยาวเมื่อมีอายุมากขึ้น เวลาเดินมักจะโหย่งเท้า
ท้อง
  ลักษณะท้องจะไม่คอดกิ่วเหมือนหมาไทยทั่วๆ ไป ลำตัวค่อนข้างจะกลมและหนากว่าหมาไทย แต่อกไม่ลึกเท่ากับหมาไทยทั่ว ๆ ไป
หลัง
ค่อนข้างจะแบน
ขนาด
    ตัวผู้สูงประมาณ 45-53 เซนติเมตร (19-21 นิ้ว) ตัวเมียสูงประมาณ 43-48 เซนติเมตร (17-19 นิ้ว) ตัวผู้หนักประมาณ 14-16 กิโลกรัม ตัวเมียหนักประมาณ 13-15 กิโลกรัม
  สี
 มีหลายสี เช่น สีด่างขาว-ดำ, สีขาว-น้ำตาล, สีขาว-เทา
ลักษณะทั่วไป
 เป็นสุนัขขนาดกลาง รูปทรงตั้งแต่ช่วงขาหน้าถึงขาหลังเป็นสามเหลี่ยมจัตุรัส อกกว้างและลึกได้ระดับกับข้อศอก ไหล่กว้าง ท้องไม่คอดกิ่ว ปากแหลม หูเล็ก หางพวง ขนมี 2 ชั้น รักเจ้าของ ฉลาด ปราดเปรียว กล้าหาญ ค่อนข้างดุ สามารถฝึกใช้งานได้ ชอบเล่นน้ำมาก และเกลือกโคนตม
    ข้อบกพร่อง
ใบหูพลิ้ว ไม่มีขนแผลรอบคอ ขาหน้าเล็ก ไม่มีแข้งสิงห์ ไม่มีขนคลุมนิ้ว เท้า หูใหญ่ หางขอด ขนหลุดร่วง ฟังบนยื่นกว่าฟันล่างหรือฟันล่างยื่นกว่าฟันบน ปากใหญ่ ตาใหญ่ หูไม่ตั้ง หางไม่เป็นพวง ขนสั้น อัณฑะเม็ดเดียว ฟันหัก 3 ซี่ขึ้นไป โดยไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ หางขาด ปากหู่ ตากลม เส้นหลังแอ่น



 

  คำแนะนำในการสังเกตลูกสุนัขบางแก้ว

 1. ลักษณะของลูกสุนัขที่ออกมาในช่วงแรกหูค่อนข้างจะเล็ก เมื่อเปรียบเทียบกับลูกสุนัขไทย ทั่ว ๆ ไป กะโหลกศีรษะใหญ่ กระหม่อมแบนราบ หน้าผากโหนก มีขน 2 ชั้น
2. บางตัวมีสีดำแล้วจะค่อยเปลี่ยนเป็นสีสนิมเหล็กเมื่อโตขึ้น เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากสายเลือด ของหมาไนที่ออกลูกเป็นสีดำในช่วงแรก แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นสีแดงสนิมเหล็ก
3. มีแนวของขนแผงคอเห็นได้อย่างชัดเจน โคนหางอวบใหญ่
4. มีลักษณะของแนวขนแข้งสิงห์ที่ด้านหลังของขาหน้า
5. ขาจะใหญ่และแข็งแรงกว่าสุนัขไทยทั่วไป
6. ขนยาวเป็นปุยนุ่มมือ มีลักษณะเป็นขนสองชั้น
7. เมื่อสุนัขโตขึ้นอายุประมาณ 1 เดือน จะมีนิสัยชอบเล่นน้ำและชอบอาบน้ำ ซึ่งแตกต่างไปจาก สุนัขไทยทั่วไป
8. หน้าแด่นหรือแบ่งเป็นเส้นจากปลายปากถึงกะโหลกศีรษะ ถ้ามีน้อยไม่ยาวมากเรียก "แด่น" แต่ถ้าเส้นยาวมีมากและแยกส่วนศีรษะออกเป็นสองส่วนแรก "แบ่ง"
9. ปลายปากแหลมเล็ก ปลายปากยาว (ขาวเป็นวงรอบปลายปาก) เรียกว่า "คาบแก้ว"
10. มีสีแต้มด่างตามมาตรฐาน
                                       

      

   สาเหตุที่สุนัขบางแก้วดุ

 

สุนัขบางแก้วดุจริงหรือ? ท่านลองถามคำถามนี้กับผู้เลี้ยงสุนัขบางแก้วหลายๆท่าน แล้วท่านจะทราบว่า สุนัขบางแก้วไม่ได้ดุอย่างที่ท่านคิด สุนัขบางแก้วน่ารัก มีเสน่ห์ แต่สำหรับบางท่านผู้ซึ่งมีประสบการณ์ที่ไม่ดี กับสุนัขบางแก้วก็จะบอกว่ามัน ดุมากเลี้ยงไม่ได้ แต่ลองมาเปรียบเทียบอัตราส่วนระหว่างผู้ที่มีความรู้สึกดีๆกับสุนัขบางแก้ว กับผู้ที่มีความรู้สึกไม่ดีต่อสุนัขบางแก้ว ผู้ที่มีความรู้สึกดีๆกับสุนัขพันธุ์บางแก้วจะมีมากกว่า นั่นเป็นเพราะอะไร เราลองมาหาสาเหตุกันดีกว่า แหล่งที่ได้มาของสุนัขบางแก้ว ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าสุนัขบางแก้วนั้น เป็นสุนัขที่อยู่ในช่วงของการพัฒนาสายพันธุ์ จากเดิมสุนัขพันธุ์นี้มุ่งหวังแต่เพียงเป็นสุนัขใช้งาน เน้นในเรื่องของความดุ ความก้าวร้าว ต่อมามีผู้นิยมเลี้ยงกันมากขึ้น เพราะชอบความดุ และสามารถนำมาใช้ในการปกป้องทรัพย์สินได้ แต่ความดุของสุนัขบางแก้วในอดีตนั้น เป็นความดุที่เกินความสามารถของเจ้าของที่จะควบคุมเขาได้ ดังนั้นเชื้อสายของสุนัขบางแก้วในยุคแรกๆจะค่อนข้างที่จะดุแบบก้าวร้าวมากๆ เมื่อนำสุนัขเหล่ามาใช้เป็นพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ การสืบทอดทางสายเลือดในเรื่องความดุและก้าวร้าวก็จะตกทอดมายังลูกหลานด้วย เมื่อท่านไปซื้อ หรือขอสุนัขที่มีสายเลือดค่อนข้างดุเหล่านั้นมาเลี้ยง เป็นธรรมดาที่สุนัขบางแก้วเหล่านั้นจะมีความดุติดมาทางสายเลือดด้วย อีกทั้งผู้ผสมพันธุ์และผู้เลี้ยง ก็เลี้ยงเขามาอย่างผิดวิธี ก็ยิ่งทำให้สุนัขบางแก้วเหล่านั้นยิ่งดุมากยิ่งขึ้น เมื่อสุนัขเหล่านั้นดุมากและอยู่เหนือการควมคุมของเจ้าของ เจ้าของก็แก้ไขโดยวิธีมักง่าย โดยนำหมาบางแก้วเหล่านั้นไปปล่อยให้เป็นสุนัขจรจัดให้ภาระของสังคมต่อไป

 การเลือกลูกสุนัชบางแก้ว

 

ในการเลือกลูกสุนัขนั้น ก่อนที่เราจะตัดสินใจซื้อเพื่อนำไปเลี้ยง ต้องแน่ใจก่อนว่าสมาชิกใน ครอบครัวของเราทุก ๆ คนต้องการสุนัขชนิดนี้อย่างแท้จริง เพราะสุนัขฉลาดพอที่จะรู้ว่าคุณต้องการมัน จริง ๆ หรือไม่ ถ้าลูกสุนัขรู้สึกว่ามันไม่เป็นที่ต้องการอย่างแท้จริงแล้ว คุณจะต้องเลี้ยงสุนัขที่ไม่มีความสุขไปตลอด จนในที่สุดมันจะกลายเป็น "สุนัขมีปัญหา" ซึ่งคุณอาจต้องเลี้ยงสุนัขที่ไม่เป็นที่ต้องการไปอีก 10-15 ปี ทีเดียว ก่อนซื้อควรเลือกให้ดีและแน่ใจเสียก่อนว่าตัวนี้แหละเป็นสุนัขที่เกิดมา สำหรับคุณจริง ๆ
นอกเหนือจากการอ่านวิธีการเลี้ยงแล้ว วิธีที่ดีที่สุดในการเลี้ยงก็คือ ศึกษาจากคนรอบ ๆ ข้างที่เลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้ ทุกคนอยากคุยเรื่องสุนัขของตัวเองให้เพื่อนบ้านฟังกันทั้งนั้น รวมทั้งคุณด้วย
เพศและอายุของสุนัข
ก่อนจะซื้อลูกสุนัข ควรตัดสินใจก่อนว่าคุณต้องการสุนัขตัวผู้หรือตัวเมีย เพราะมันเป็นเรื่องความชื่นชอบส่วนตัว แต่จริง ๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นสุนัขเพศใด มันก็น่ารักเท่า ๆ กัน รวมทั้งลักษณะท่าทางก็เหมือนกัน และมันก็สามารถจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดีได้พอ ๆ กันทั้งสองเพศด้วย
การจะเลือกลูกสุนัขไปเลี้ยงหากไม่แน่ใจว่าจะเลือกลูกสุนัขเพศไหนไปเลี้ยงดีก็ให้พิจารณาจากสิ่งต่อไปนี้ คือ
 สุนัขเพศเมียจะเป็นสัดปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 3-4 วัน ช่วงนี้สุนัขเพศเมียอยากจะผสมพันธุ์ จึงชอบออกเที่ยว ไม่ค่อยจะยอมเชื่อฟัง และมีกลิ่นเพศเมียขจรขจายออกไป เพื่อดึงดูดสุนัขเพศผู้ให้มาหา ผู้เลี้ยงจึงต้องคอยควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดการผสมกับสุนัขที่คุณไม่ต้องการหรือเกิดการผสมข้ามสายพันธุ์ แต่ก็มีทางแก้ไขได้โดยให้กินยาเม็ดจำพวกดับกลิ่นเพศในช่วงที่เป็นสัด เพื่อดับกลิ่นเพศเมีย หรือทำหมันสุนัขเพศเมียนั้น ถ้าไม่ต้องการลูกสุนัขอีก
ส่วนสุนัขเพศผู้ที่แข็งแรงจะไม่สามารถหักห้ามใจในกลิ่นของสุนัข เพศเมียได้ มันจะหงุดหงิดและหาทางออก เพื่อไปหาสุนัขเพศเมีย ถ้าไม่มีการกักขัง สุนัขเพศผู้อาจจะหายไปครั้งละหลาย ๆ วัน เพื่อที่จะไปเฝ้าวนเวียนอยู่บริเวณบ้านของสุนัขตัวเมียที่เป็นสัดนั้น และไม่ยอมกลับมา นอกจากนี้สุนัขเพศผู้มักชอบทำเครื่องหมายบ่งบอกอาณาเขตของตนให้สุนัขตัวอื่น รู้ โดยการฉี่รดตามจุดต่าง ๆ ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นไปทั่ว และเมื่อพาสุนัขเพศผู้ออกไปเดินเล่น มันจะดมกลิ่นไปเรื่อย ๆ และก็จะทำเครื่องหมายไปตลอดทาง
 อย่างน้อยสามในสี่ส่วนของผู้ที่ต้องการเลี้ยงสุนัข ต้องการลูกสุนัขที่ค่อนข้างเล็กกว่าสุนัขรุ่น ๆ หรือสุนัขหนุ่ม เพราะชอบที่จะที่จะคอยเฝ้าดูการเจริญเติบโตของลูกสุนัข จากลูกสุนัขตัวน้อยๆ น่ารักที่นอนแอ้งแม้งเหยียดแข้งเหยียดขามาเป็นสุนัขแรกรุ่น ลูกสุนัขที่มีอายุ 2 ? - 3 เดือนนั้น นับว่าโตได้ที่แล้ว ในวัยนี้ลูกสุนัขจะหย่านมแล้วและจะเป็นอิสระ ไม่ต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่จากแม่สุนัขแต่อย่างใด เป็นวัยที่พร้อมจะรับบทเรียน ลูกสุนัขจะเริ่มเข้าใจและเอาใจใส่กับบทเรียนและทำความคุ้นเคยกับที่อยู่
 แต่ถ้าลูกสุนัขมีอายุน้อยกว่า 2 ? เดือน ลูกสุนัขจำเป็นได้รับการเอาใจใส่จากแม่สุนัขตลอดเวลา ผู้เลี้ยงจึงต้องมีภาระมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ลูกสุนัขในวัยนี้หรือวัยที่โตพอจะหย่านมแล้วราคาคงไม่แตกต่างกันมากนัก
แต่ถ้าหากคุณไม่มีเวลาและความพร้อม ควรเลือกซื้อสุนัขที่โตแล้ว มีพัฒนาการทางร่างกายสมบูรณ์ การเลือกสุนัขโตนั้นถ้าต้องการจะฝึกสอนหรือเปลี่ยนพฤติกรรมของมัน อาจจะทำได้ยากกว่าการฝึกลูกสุนัข การฝึกลูกสุนัขโตต้องอาศัยความอดทนและใจเย็น เพราะการจะไปเปลี่ยนพฤติกรรมของสุนัขทันทีทันใดนั้น อาจจะทำให้สุนัขเกิดอาการก้าวร้าวอย่างชนิดที่คาดไม่ถึงหรืออาจจะทำร้ายเรา ก็ได้
 เพื่อโชว์หรือเพื่อดูเล่น
แม้ว่าสุนัขสายพันธุ์นี้จะเหมาะสำหรับเป็นสัตว์เลี้ยงไว้ดูเล่น หรือพึ่งพา เพราะความที่มันมีเชื้อสายดีก็ตาม แต่มันเป็นการดีที่เราจะถามตัวเองให้ชัดเจนไปเลยว่า จุดประสงค์ที่เราต้องการเลี้ยงสุนัขเพื่ออะไร เพื่อเราจะได้ตัดสินใจเลือกลูกสุนัขที่เหมาะกับความต้องการของเรา สุนัขไม่ว่าสายพันธุ์ใดก็ตามมีอยู่ด้วยกัน 2 เกรด ได้แก่ เกรด Show Quality คือลูกสุนัขตัวนั้นมีคุณสมบัติพิเศษที่มีมากกว่าลูกสุนัขในคอกเดียวกัน เช่น แม่สุนัขคลอดลูกออกมา 7 ตัว โอกาสที่จะมีลูกเกรด Show Quality อาจมีเพียง 1-2 ตัว หรืออาจไม่มีเลยก็ได้ ดังนั้นลูกสุนัขในเกรดนี้จะมีราคาสูงกว่าลูกสุนัขที่เหลือในคอก โดยเราจะเรียกกลุ่มที่เหลือว่า เกรด Pet Quality จะเหมาะสำหรับผู้ที่เลี้ยงเพิ่งเริ่มเลี้ยง ซึ่งราคาจะไม่แพงเท่ากับลูกสุนัขในเกรด Show Quality ผู้ที่ต้องการเลี้ยงไว้ดูเล่นก็สามารถซื้อได้ในราคาถูกกว่า เพราะลักษณะมันอาจจะไม่ตรงกับมาตรฐานหรือไม่สมบูรณ์แบบมากพอที่จะเป็นสุนัข ในเกรด Show Quality ได้ ทั่ว ๆ ไปแล้วผู้เลี้ยงที่ชำนาญจะสามารถระบุได้เลยถึงความแตกต่างระหว่างสุนัขที่ เลี้ยงไว้ดูเล่นกับสุนัขแข่งโชว์ สุนัขที่เลี้ยงไว้เพื่อโชว์นั้นจะมีราคาแพงกว่าสุนัขที่เลี้ยงไว้ดูเล่น เพราะมันสามารถเข้าประกวดแข่งขันได้ ถ้าถามว่าสุนัขเกรด Show Quality นี้ดูได้จากอะไร ส่วนมากผู้ผสมพันธุ์ (Breeder) ที่สหรัฐฯมักจะใช้การดูจากกะโหลก ขา สี ตา ข้อตะโพก หัวใจ ที่จะต้องตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ รวมไปถึงการเคลื่อนย้ายตัวอย่างสวยงาม พร้อมองค์ประกอบร่วมอีกหลายอย่าง
 ปัจจุบันการเลือกซื้อลูกสุนัขของคนไทยนั้น ความคิดส่วนใหญ่พออยากให้ลูกสุนัขก็ตรงไปซื้อเลย ซึ่งนับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ถูกต้อง ก่อนอื่นควรศึกษาถึงมาตรฐานสายพันธุ์ รูปร่างหน้าตา โครงสร้าง สีที่ถูกต้อง รวมไปถึงขนาดให้ดีเสียก่อน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการเลือกซื้อและตัดสินใจ บางคนซื้อสุนัขราคาถูกกว่ามาตรฐานและบอกว่าเกรดเดียวกัน ตอบได้เลยว่าคุณถูกคนขายต้มตุ๋นเข้าแล้ว
 มีสถานที่และเวลาที่เหมาะสมหรือเปล่า
 สถานที่นั้นนับเป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องคำนึงเป็นอย่างมาก ถ้าผู้ซื้อมีบ้านที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีสนามให้สุนัขวิ่งเล่นออกกำลังกายได้ นับว่าเป็นการดีอย่างยิ่ง เพราะสุนัขจำเป็นต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ รูปร่างจึงจะสวยงาม แต่ถ้ามีพื้นที่คับแคบ ก็ควรให้สุนัขเดินมาก ๆ เป็นประจำทุก ๆ วัน
สุนัขทุกตัวต้องการการดูแลและความรักจากผู้เป็นเจ้าของ เราจึงต้องสละเวลาบ้างเพื่อที่จะเล่นกับมัน พามันไปออกกำลังกาย แปรงขน ทำความสะอาด พาไปพบสัตวแพทย์ ฯลฯ
จะซื้อได้ที่ไหน
 ถ้าคุณต้องการเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ และจะเสาะหาสุนัขที่ต้องการ นับว่าเป็นงานหนักไม่น้อย บางครั้งก็ออกจะน่าเบื่อ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นงานที่สนุกและท้าทายไม่น้อยเลยทีเดียว สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือตระเวนไปตามร้านขายสุนัขหรือคอกเพาะพันธุ์สุนัข ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควรสังเกตก็คือ ที่ตั้งและขนาดของสถานที่หรือคอกนั้น ๆ จะต้องสะอาด เพราะถ้าการจัดการของฟาร์มใดที่คุณจะซื้อดูสกปรก เลอะเทอะ ไม่เป็นระเบียบ อึดอัด คับแคบ ไม่มีที่ให้สุนัขวิ่งเล่นเพื่อออกกำลังกาย ก็อาจส่งผลกระทบให้พ่อพันธุ์-แม่พันธุ์เกิดอาการเครียด ซึ่งจะส่งผลไปยังลูกสุนัขที่เกิดมา แถมความสกปรกยังอาจเป็นตัวนำเชื้อโรคมาสู่ลูกสุนัขได้อีกด้วย ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ย่อมส่งผลต่อสุขภาพของลูกสุนัข
วิธีการคัดเลือกลูกสุนัขอย่างถูกต้องก่อนตัดสินใจซื้อนั้น คุณต้องเริ่มดูตั้งแต่พ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ของตัวลูกสุนัข แม่พันธุ์จะต้องมีลักษณะที่ดี ตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ มีคุณภาพไม่แพ้พ่อพันธุ์เช่นกัน เพราะถ้าแม่พันธุ์ดีการให้ลูกก็จะมีคุณภาพดีเช่นกัน สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือดูแววตาว่าสดชื่นหรือเปล่า พ่อพันธุ์ที่ดีจะต้องมีการออกกำลังกายอยู่เสมอ และกินอาหารอย่างถูกต้องครบถ้วน จากนั้นก็ดูที่ข้อตะโพกหรือ Hip ว่าการเดินทางการเคลื่อนตัวไปข้างหน้ามีการเจ็บหรือขัดหรือเปล่า สุดท้ายก็เรื่องของสี
ส่วนของแม่พันธุ์ก็จะดูถึงขนาดว่าใหญ่เกินมาตรฐานหรือเปล่า หรือเล็กเกินไป เคยถ่ายลูกออกมาแล้วเป็นอย่างไรบ้าง มีปัญหาตามมาหรือเปล่า แม่พันธุ์หรือพ่อพันธุ์ที่ดีควรผสมเมื่ออายุ 2 ปี ขึ้นไป หรือช่วงเป็นสัดครั้งที่ 3 เพื่อจะได้โตเต็มที่ และถ่ายลูกออกมาได้คุณภาพมากที่สุด เมื่อคุณพอใจกับพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์แล้ว ขั้นต่อไปก็ขอดูใบ Pedigree พ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ ประวัติสายเลือดเพิ่มเติมเสียหน่อย ว่ามีสายเลือดใกล้ชิดกันหรือเปล่า สายเลือดเคยเป็นแชมเปี้ยนหรือเปล่า เพราะคำกล่าวที่ว่า "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น" นั้นยังใช้ได้ดีอยู่ สิ่งเหล่านี้เราสามารถสอบถามได้จากเจ้าของคอกเพาะพันธุ์ เพื่อให้ทราบถึงรายละเอียดในการนำมาพิจารณาตัดสินใจเลือกซื้อสุนัข
และอีกประการหนึ่งเราต้องคำนึงถึงความมีชื่อเสียงของคอกเพาะ พันธุ์ ข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้มา ก่อน ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยคอกเพาะพันธุ์สุนัขที่เชื่อถือได้
ผู้ผสมพันธุ์และคอกเพาะพันธุ์ที่ไว้ใจได้ แนะนำให้คุณนำลูกสุนัขไปตรวจเช็คร่างกาย และจะให้เวลาคุณอย่างน้อย 2 วันเพื่อรอผล ถ้าหากผลการตรวจสุขภาพออกมาไม่เป็นที่พอใจ คุณสามารถนำเหตุผลไปให้ที่ร้านเพื่อเลือกลูกสุนัขตัวใหม่ หรือขอเงินคืนก็ได้ (ขึ้นอยู่กับข้อตกลง) ควรแน่ใจว่าคุณได้ทำทุกอย่างตามคำแนะนำก่อนจะซื้อลูกสุนัข
แต่สุดท้ายก็ขอเตือนผู้ที่จะเลือกซื้อสุนัขสายพันธุ์ดีมาเลี้ยง กับเขาสักตัว ต้องเชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้ ควรสังเกตหรือพิจารณาตามหลักความจริง อย่าหลงเชื่อคำพูดของผู้ขายเสียทั้งหมด ไม่เช่นนั้นอาจต้องมานั่งเสียใจภายหลัง เสียทั้งเงินและเสียทั้งความตั้งใจเปล่า ๆ
สัญลักษณ์แห่งสุขภาพที่ดี
การเลี้ยงสุนัขดีเป็นมิตรที่ดีกับครอบครัว ต่างจากสุนัขที่เอาไว้โชว์ ซึ่งจะยุ่งยากขึ้นเล็กน้อย บ่อยครั้งที่ลูกสุนัขเตะตาคุณอย่างจัง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องเรียกว่าเป็นรักแรกที่อาจเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย ที่กล่าวว่ามันเป็นสุนัขที่เกิดมาสำหรับคุณ ถ้าเราเชื่อสายตาและมือของเรา ก็จะบอกได้ว่าสุนัขตัวนี้รู้สึกอย่างที่เรารู้สึกหรือไม่ เมื่อคุณเลือกซื้อลูกสุนัขมาเลี้ยง จงอย่างรีบร้อนในการเลือกหา ยิ่งได้ศึกษาเกี่ยวกับลูกสุนัขนานแค่ไหน คุณก็ยิ่งเข้าใจลูกสุนัขมากแค่นั้น หลักพิจารณาในการเลือกซื้อสุนัข คือ
1. มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง มีอายุสมขนาดของตัวที่ควรจะเป็น ไม่ใช่ตัวเล็กหรือใหญ่เกินไป ดูสมส่วน ร่าเริง ชอบเล่น ไม่อยู่นิ่ง ไม่หงอยเหงาเศร้าซึม ไม่แสดงกิริยาก้าวร้าวหรือตื่นตกใจเกินเหตุ ท่าทางการเดินหรือวิ่งเป็นปกติ ขาแข็งแรง เมื่อยกลูกสุนัขขึ้น โดยใช้สองมือประคองที่ขาหนีบหน้าของสุนัขเป็นปกติดีหรือไม่ ไม่มีอาการใด ๆ ที่แสดงว่าเจ็บป่วย
 2. เปิดดูภายในช่องหู ควรจะแห้ง สะอาด ไม่มีกลิ่นเหม็น ปราศจากก้อนแข็ง ๆ รอยแผลและ สิ่งสกปรก จมูกเย็นชื้น (ถ้าแห้งแสดงว่าไม่สบาย) สะอาด ไม่มีน้ำมูก
 3. เปิดปากสำรวจลิ้น ฟัน และเหงือก โดยลิ้นและเหงือกควรมีสีชมพู และเขี้ยวควรอยู่ตำแหน่งที่ เหมาะสม
 4. ดวงตาต้องสดใสเป็นประกาย สว่าง ไม่ขุ่นมัว สะอาด และปราศจากขี้ตาและน้ำตา สุนัขควร ลืมตาได้เป็นปกติ ไม่มีอาการกระพริบตาบ่อย ๆ ควรหลีกเลี่ยงสุนัขที่ใช้อุ้งเท้าแคะตาบ่อย ๆ
  5. ขนเป็นมันเงา นุ่ม ใช้ฝ่ามือลูกขนสุนัขให้ทั่ว เพื่อสำรวจผิวหนัง รอยแผลเป็น ฝุ่นดำ ๆ ซึ่งเป็น ไข่ของเห็บหรือหมัด ให้ดูด้วยว่าขณะลูกสุนัขแสดงอากาศเจ็บปวดหรือไม่
 6. ดูใต้หางของสุนัขว่าทวารหนักปราศจากรอยเปื้อนของอุจจาระ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสุนัขกำลัง ท้องเสีย
 7. สุนัขไม่ไอหรือแสดงอาการอื่น ๆ ที่ผิดปกติ เช่น ท้องไม่โต หรือป่องเกินไป เพราะอาจมีพยาธิ
   8. ส่วนเรื่องของสี ในการดูลูกสุนัขนั้นไม่ใช่ว่าจะเข้มหรืออ่อนเพียงอย่างเดียว ควรดูตำแหน่งของ สีหรือจุดแต้มสีด้วยว่าออกโทนเดียวหรือเปล่า สีเป็นส่วนหนึ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม สุนัขบางตัวรูปร่าง ทุกอย่างสวยหมด แต่ตำแหน่งของสีผิดเพี้ยนไปก็จะกลายเป็นข้อบกพร่องไป
 

ยาคูลท์ดีอย่างไร

 ยาคูลท์ดีอย่างไร

 อยากรู้เรื่องยาคูลท์ ถามสาวยาคูลท์ดูสิค่ะ

      
             ในปี ค.ศ. 1930 ดร. มิโนรุ ชิโรต้า ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเเบคทีเรียกรดนมในลำไส้คนเรา และได้ค้นพบแบคทีเรียกรดนมที่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ในลำไส้คนเรา และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทุกคนได้หันมาสนใจถึงประโยชน์ของแบคทีเรียกรดนมจาก เเนวความคิดของ ดร. มิโนรุ ชิโรต้า ที่ว่า "ลำไส้ที่สมบูรณ์แข็งแรงเป็นหนทางสู่การมีอายุยืนยาว" ดังคำกล่าวของเขาที่ว่า "Kencho Choju - Healthy intestine leads to a long life"
            ดร. มิโนรุ ชิโรต้า ประสบความสำเร็จในการคัดเลือกจุลินทรีย์กรดนมที่มีความสามารถในการทนต่อ สภาวะกรดและด่างที่รุนแรงในร่างกายคนเราได้ และสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในลำไส้ นั่นคือ จุลินทรีย์ชิโรต้า หรือแลคโตบาซิลลัส คาเซอิ สายพันธุ์ชิโรต้า (Lactobacillus Casei Shirota Strain)
            ในปี ค.ศ. 1935 ผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวได้ถูกผลิตขึ้น และจำหน่ายเป็นครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น โดย ดร. มิโนรุ ชิโรต้า ตั้งชื่อ ผลิตภัณฑ์นี้ว่า "ยาคูลท์" ซึ่งเป็นภาษา Esperanto มีความหมายเช่นเดียวกับโยเกิร์ต แปลว่า มีอายุยืนยาว
             ยาคูลท์ เป็นผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวที่มีจุลินทรีย์ที่ให้ประโยชน์นับพันล้านตัว ที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งได้มาจากการหมักนมกับน้ำตาลกลูโคส โดยใช้จุลินทรีย์ชิโรต้า ยาคูลท์ไม่ใช่เป็นเพียงนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต แต่เป็น "โพรไบโอติก (Probiotics)" หรืออาหารเสริมที่มีแบคทีเรีย หรือจุลินทรีย์ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย จุลินทรีย์ชิโรต้า หรือ แลคโตบาซิลลัส คาเซอิ สายพันธุ์ ชิโรต้า ได้ถูกคัดเลือกมาโดยเฉพาะ เพราะมีความสามารถทนต่อสภาวะความเป็นกรดที่รุนแรงในกระเพาะอาหารของคนเรา และทนต่อความเป็นด่างที่รุนแรงของน้ำดี สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ในลำไส้ และให้ประโยชน์ต่อสุขภาพของเราได้
ส่วนประกอบสำคัญของยาคูลท์
  1. นมคืนรูปขาดมันเนย 50%
  2. น้ำตาล 18%
  3. จุลินทรีย์กรดนม (แลคโตบาซิลลัส คาเซอิ สายพันธุ์ ชิโรต้า)
  4. ในยาคูลท์ 1 ขวด (80 cc.) มีจุลินทรีย์ชิโรต้าที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 8 พันล้านตัว

สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้

           ระบบย่อยอาหารของคนเราถือเป็นเครื่องจักรที่สำคัญของร่างกาย เพราะเป็นที่ๆ สารอาหารต่างๆ รวมถึงสารพิษและสารอันตรายอื่นๆ จะถูกสร้างขึ้นในร่างกาย จึงจำเป็นที่จะต้องทำให้ระบบย่อยอาหารอยู่ในสภาวะที่ดี และเหมาะสมที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนกับเครื่องยนต์ของรถยนต์ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องดูแลเอาใจใส่อวัยวะต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร
"ความตายรออยู่ในลำไส้, การย่อยที่ไม่ดีจะก่อให้เกิดสิ่งชั่วร้ายภายในร่างกายของเรา"
ดังคำกล่าวที่ว่า "You are what you eat"
            กินอะไรก็ได้สิ่งนั้น หรือคุณเป็นในสิ่งคุณกินเข้าไป และคุณควรทราบว่าภาระหน้าที่ในการเปลี่ยนสิ่งที่เรากินให้เป็นสิ่งที่เรา เป็นนั้นก็คือระบบย่อยอาหารของเรานั่นเอง อาหารที่เราทานเข้าไปจะเดินทางผ่านระบบนี้จากปากไปจนถึงลำไส้ใหญ่และทุกๆ จุด ทุกๆ มิลลิเมตร จากความยาวประมาณ 9 เมตร ของลำไส้ จะประกอบไปด้วยโรงงานเล็กๆ มากมายที่จะทำหน้าที่ในการย่อยอาหารที่เรากินเข้าไป และสุดท้ายสิ่งต่างๆ ก็จะถูกสร้างขึ้นจากอาหารเหล่านั้น 
            จุลินทรีย์ชิโรต้า ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ และปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังต่อไปนี้
ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้โดยการทำให้มีการเพิ่มจำนวนเชื้อ แบคทีเรียที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แลคโตบาซิลลัส และ บิฟิโดแบคทีเรีย และยับยั้งการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียที่ให้โทษ
ยับยั้งการสร้างสารพิษของแบคทีเรียที่ให้โทษ ช่วยให้ลำไส้ทำงานได้เป็นปกติ เช่น ลดอาการท้องผูก ท้องเสียช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกรดนมที่เชื้อแลคโตบาซิลลัสสร้างขึ้น ช่วยให้ลำไส้มีการขยับตัวเคลื่อนที่ได้มากขึ้นช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง และการติดเชื้อ
           โพรไบโอติก มาจากภาษากรีกว่า "Probiosis" ซึ่งเป็นคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพ หมายถึง การมีชีวิตอยู่ร่วมกัน (co-existence) ดังนั้น โพรไบโอติก จึงหมายถึง จุลินทรีย์ที่มีชีวิต ซึ่งเมื่อบริโภคเข้าไปแล้วจะเกิดผลดีต่อสุขภาพของผู้ที่รับประทานเข้าไป โดยช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกาย (lntestinal flora)
            โพรไบโอติก ที่นิยมนำมาใช้ในการผลิตอาหารส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเชื้อแบคทีเรียกรดนม (Lactic Acid Bacteria)ได้แก่ กลุ่มเชื้อ บิฟิโดเเบคทีเรีย และกลุ่มเชื้อ แลคโตบาซิลลัส เช่น เเลคโตบาซิลลัส คาเซอิ สายพันธุ์ ชิโรต้า ในนมเปรี้ยวยาคูลท์


ทำไมยาคูลท์ถึงมีแต่ขวดเล็ก


เคย สังเกตหรือเปล่าคะว่ายาคูลท์ที่เราดื่มเป็นประจำทำไมถึงมีแต่ขนาด 80 cc. ไม่มีขนาดอื่นเหมือนกับนมเปรี้ยวยี่ห้ออื่นๆ วันนี้เรามีคำตอบค่ะ

ยา คูลท์มีแต่ขนาด 80 cc เป็นเพราะว่า ยาคูลท์เป็นผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวที่ได้จากการหมัก โดยเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นแบคทีเรีย ชื่อ แลคโตบาซิลลัส ที่ทำให้เกิดรสชาติเปรี้ยว เนื่องจากเกิดกรดขึ้นมาหลายชนิดระหว่างกระบวนการหมัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรดแลคติก ปัจจุบันใช้เชื้อชื่อ Lactobaciius Balgaricu ร่วมกับ Stroptcoccus themophilus ในอุตสาหกรรมผลิตนมเปรี้ยวและโยเกิร์ต โดย ปกติธรรมชาติแล้ว จุลินทรีย์ชนิดนี้มีอยู่แล้วตามทางเดินอาหารของคนเรา และเป็นจุลินทรีย์ที่ดีมีประโยชน์ ช่วยทำให้เกิดกระบวนการย่อย และหมักในทางเดินอาหาร ในส่วนที่ร่างกายคนเราไม่สามารถย่อยได้ จุลินทรีย์กลุ่มนี้จะคอยช่วยเหลือ ถ้ามีจำนวนมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายต่อเราได้เช่นกัน คืออาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ เพราะจุลินทรีย์ผลิตกรดขึ้นมา ซึ่งเป็นผลทำให้ยาคูลท์ผลิตขนาดเดียว คือ 80 cc. ที่พอเหมาะกับปริมาณของเชื้อแลคโตบาซิลลัส โดยสังเกตข้างขวดที่เขียนไว้ว่า มีเชื้อแลคโตบาซิลลัส 8.0 x 10 ( ยกกำลัง 9)ถ้าทำยาคูลท์ให้มี ขนาดใหญ่พอๆ กับยาคูลท์ 6 ขวดเล็กรวมกันคงไม่ดีต่อผู้บริโภคแน่ เพราะจะทำให้ได้รับปริมาณเชื้อแลคโตบาซิลลัสมากเกินพอ หรือถ้าจะทำขนาด 450 cc. ขึ้นมาจริงๆ แล้ว ลดปริมาณแลคโตบาซิลลัสลงอาจจะทำได้ แต่เชื่อแน่ว่ารสชาติของยาคูลท์อาจจะเปลี่ยนไปไม่อร่อยเหมือนเคยและ ถ้าหากเราทานยาคูลท์วันละ 6 ขวด เพื่อความอร่อยแต่อาจเกิดโทษได้ ทานวันละขวดก็เพียงพอแล้ว คนที่ไม่ทานเลยก็ไม่ว่าอะไร เพราะว่าในร่างกายของเรามีจุลินทรีย์ชนิดนี้อยู่เรียบร้อยแล้ว อีกเรื่องที่ควรสังเกต เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ยาคูลท์ คือ อย่าลืมดูวันหมดอายุข้างขวด และเลือกซื้อจากตู้แช่ที่เก็บไว้ในอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส เพราะจะทำให้จุลินทรีย์พร้อมที่จะทำงานให้เราได้ทันที


  วิธีดื่มยาคูลท์

ไม่มีวิธีที่ถูกหรือผิดในการดื่มยาคูลท์ แต่เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการดื่มยาคูลท์ ขวดเล็กๆ ของพวกเรา เราจึงมีคำแนะนำดังนี้
1. ดื่มยาคูลท์หนึ่งขวดต่อวัน แบคทีเรียในขวดของพวกเรานั้นเป็นแบบ "ชั่วคราว" ซึ่งหมายความว่าแบคทีเรียนี้จะอยู่ในลำไส้ของคุณเป็นเวลาจำกัด เมื่อทำหน้าที่เสร็จก็จะตายไป การดื่ม 1 ขวดต่อวันนั้นจะช่วยให้ลำไส้ของคุณมีสุขภาพดีในระยะยาว
2. ดื่มยาคูลท์ควบคู่ไปกับอาหารเช้า ผู้คนจำนวนมากพบว่าการดื่มยาคูลท์ในเวลาเดิมทุกๆ วัน จะทำให้เกิดความคุ้นเคย และรู้สึกว่าเป็นหนึ่งในชีวิตประจำวัน ซึ่งคุณสามารถดื่มยาคูลท์ควบคู่ไปกับอาหารมื้อใดก็ได้ เพราะเป็นผลดีต่อสุขภาพของคุณเช่นเดียวกัน
3. ดื่มยาคูลท์สองขวดได้ ไม่เป็นอันตราย ยาคูลท์ คืออาหาร ฉะนั้น การดื่มมากกว่าหนึ่งขวดต่อวันนั้นจึงไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เพียงแต่การดื่มหนึ่งขวดต่อวันจะให้แบคทีเรียในปริมาณที่เพียงพอสำหรับผู้ ที่มีสุขภาพดีหนึ่งคน ในบางครั้งบางคราวคุณอาจต้องการดื่มสองขวดเพื่อให้ลำไส้ได้รับการเสริม แรงอย่างจริงจังก็สามารถทำได้เช่นกัน
4. ผสม Prebiotics เข้ากับจุลินทรีย์ในลำไส้ของคุณ Prebiotics คือใยอาหารที่ไม่ถูกย่อยโดยลำไส้ โดยทั่วไปจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ดีที่อยู่ในลำไส้ของ คุณ คุณจะพบได้ในอาหาร เช่น กล้วย, หัวหอม, ต้นหอม, หน่อไม้, อาร์ทิโชค รวมทั้ง ในถั่ว และเมล็ดพืช เช่น ชิคพี (Chickpea) และเลนทิลส์ (Lentils) ในปริมาณที่น้อยกว่า
5. ทำอย่างอื่นส่งเสริมสุขภาพด้วย แน่นอนว่าการมีสุขภาพที่ดีไม่ใช่แค่การดื่มยาคูลท์เท่านั้น การที่จะมีสุขภาพดีนั้น คุณต้องหมั่นทำในเรื่องที่ส่งเสริมสุขภาพอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น รับประทานอาหารที่เหมาะสม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และดื่มน้ำมากๆ เป็นต้น






ปัจจุบัน มีเครื่องดื่มน้ำสีส้มขวดขาวขุ่นออกมาวางแข่งกับยาคูลท์หลายยี่ห้อ ดิฉันก็เคยซื้อกินเหมือนกัน ด้วยเหตุผลที่ว่ามันถูกดี กินทีอิ่มไปหลายชั่วโมง หลอดก็ใหญ่กว่าดูดได้สะใจ หรือจะยกซดก็ไม่เลว แต่จะว่าไปแม้จะพยายามเลียนแบบอย่างไร (ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าอื่นเขาจงใจเลียนแบบหรือแค่บังเอิญ) ยาคูลท์ก็ยังไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้

มี ข้อน่าสังเกตคือ ยาคูลท์ไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 ขวด เนื่องจากแท้จริงแล้วยาคูลท์นั้นมิใช่ขนม แต่เป็นนมที่ผ่านการหมักบ่มกับน้ำตาลและน้ำ และผสมกับเชื้อแบคทีเรียฝ่ายธรรมะ ที่ชื่อว่า Lactobacillus casei shirota strain ที่เราคุ้นๆหูกันอยู่นั่นเอง ดังนั้นถ้ามี เลคโตบาสิลัสมากไป มันอาจจะแย่งที่อยู่ ทีนี้ละก็บ้านที่มันอาศัย หรือก็คือท้องของเราเองก็จะถูกแลคโตบาสิลัสพันธุ์นักการเมืองปู้ยี่ปู้ยำ ผลสุดท้ายเป็นอย่างไรคงไม่ต้องบอก

ยาคูลท์ทำงานอย่างไร

หาก มองลงไปในพุงกะทิของเราเองจะเห็นว่าลำไส้เล็กนั้น จะบีบขย้ำกดขี่ข่มเหงและแปลงอาหารที่เรากินเข้าไปให้เป็นสารที่เป็นประโยชน์ เพื่อรอการดูดซึมแต่ในขณะเดียวกันก็จะมีสารที่เป็นโทษหลุดรอดออกมาด้วย เมื่อร่างกายก่อเกิดความสมดุลของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ ระบบย่อยอาหารของเราก็จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

เฉลี่ยแล้ว แลคโตบาซิลัสมีมูลค่าตัวละ 0.00000000075 บาท
แต่ ถ้าสมดุลเสียไป สารพิษและสารอันตราย อาจถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่าย ดังนั้นคุณเจ้าแลคโตบาสิลัสก็เลยคิดใหม่ทำใหม่กลายเป็นพระเอกม้าขาว(ออกสี นวลๆส้มๆหน่อย) เข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าวโดยการปรับสมดุลของลำไส้ ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของช่องท้องให้ สม่ำเสมอ ลดสารที่จะก่อให้เกิดความเสียหายที่ถูกผลิตโดยแบคทีเรียฝ่ายค้าน(ฝ่ายย่อย สลาย)

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

มาทำความรู้จักกับ"เลนส์มือหมุน"กันครับ

เลนส์มือหมุน

( Manual Focus Lens )

              เลนส์มือหมุนหรือเลนส์ Manual Focus ส่วนใหญ่เป็นเลนส์ที่ใช้กับกล้องฟิล์ม แต่สามารถนำมาประยุคต์ใช้กับกล้องดิจิตอง DSLR สมัยปัจจุบันได้ แต่ต้องใช้ Adapter แปลง Mount ก่อนจึงจะใช้ได้นะครับ แต่บางทีก็ไม่ต้องใช้ Adepterสำหรับเลนส์บางยี่ห้อ เช่น เลนส์ Nikon ais สามารถใช้กับกล้อง Nikon ที่เป็น DSLR ได้เลย  แต่ Pentax ก็สามารถทำได้และทำได้ดีกว่าซะด้วย คือ สามารถปรับ F ในตัวกล้องได้เลย เช่นเลนส์รุ่นที่ลงท้ายด้วย A แต่ Conon ต้องใช้ Adapter ครับ เพราะว่า Mount FD ของ Canon ไม่สามารถใส่กับกล้อง ดิจิตอล DSLR ของ Canon ได้ แต่ว่าขอดีของ Canon คือจะใช้ได้กับเลนส์ทุก Mount เพราะมี Adapter ทุก Mount และยังสามารถ Confirm Focus ได้อีกด้วย เลนส์สามารถถ่ายได้ทุกระยะ  จนกระทั่งถึงระยะ Infinity ซึ่งกล้อง Nikon ไม่สามารถถ่ายระยะ infinityได้จากเมาท์อื่น  จะสามารถถ่ายระยะ Infinity ได้เฉพาะเลนส์ค่ายของ Nikon เองเท่านั้นแต่มีเลนส์บางยี่ห้อก็ผลิต Mount Nikon ออกมาด้วยก็ทำให้สามารถถ่ายระยะ infinity ได้ แต่ว่าหายากและมีน้อยมาก ซึ่งทำให้มีข้อจำกัดในการใช้เลนส์ คนเลยไม่นิยมใช้ Nikon กับเลนส์มือหมุน แต่ว่าเลนส์ของ Nikon ais สามารถใช้กับกล้อง Canon ได้โดยใช้ Adapter Nikon to EOS ส่วนใหญ่กล้องที่ใช้กับเลนส์มือหมุนก็คือ Canon DSLR ,กล้องพวก Mirrorless เช่น Sony ตระกูล Nex หรือ กล้อง Olympus  เพราะว่าตัวกล้องมีขนาดเล็กทำให้พกพาสะดวกแล้ว ความสามารถของกล้องพวก Mirrorless นี้ยังมีความสามารถไม่แพ้กล้อง DSLR ตัวใหญ่ๆอีกด้วย

เลนส์มือหมุน
                
               เลนส์มือหมุนส่วนใหญ่หรือที่ใช้กันมากในบ้านเราหรือต่างประเทศก็ตาม เป็น Mouse M42 หรือ เม้าท์เกลียว เป็นเมาท์ของกล้อง pentax สมัยที่ใช้กับกล้องฟิล์ม สมมุติว่าเราจะนำเลนส์เมาท์ M42 มาใช้กับกล้อง Canon เราก็ต้องเลือกใช้ Adapter M42 to Eos ก็คือนำ Adepter มาหมุนเข้ากับเลนส์เม้าท์เกลียว (M42) ก่อนแล้ว นำมาใส่กับตัวกล้องได้เลยเหมือนเลนส์ในปัจจุบัน  แต่ถ้าเป็นเมาท์ชนิดอื่นที่ไม่ใช่ m42 อาจจะไม่ใช่การหมุนเข้าอาจจะเป็นอย่างอื่น เช่น กดลงแล้วบิดให้เขี้ยวลงในล็อค แล้วแต่การออกแบบของเมาท์นั้นๆ ครับ เมาท์ที่ใช้กันก็มีอีก เช่น เม้าท์ M39 ( คล้ายกับเลนส์ M42 แต่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 39 mm แต่ว่าเป็นเกลียวเหมือนกัน ) เม้าท์ MD ,เม้าท์ OM ,เม้าท์ C/Y, เม้าท์ FD ,เม้าท์ Nikon ,เม้าท์  Leica , K-Mount,T-Mount , Mount 4/3 และอื่นๆอีกมากมาย โดยปกติแล้วส่วนใหญ่เลนส์มือหมุนเจะต้องปรับค่า F ที่ตัวเลนส์ ซึ่งต่างจากเลนส์ Auto Focus ที่เราใช้กันในปัจจุบันที่ปรับจากตัวกล้องนะครับ 

รูปตัวอย่างเม้าท์ M42 ( M42 Mount )


 จะสังเกตุเห็นได้ว่าเม้าท์มีลักษณะเป็นเกลียว


      คราวนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องเม้าท์กันบ้างนะครับ โดยปกติแล้วเม้าท์จะมีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิด ลักษณะหน้าตาก็จะแต่กต่างกันไป ถ้าเราได้ลองใช้หลายๆเม้าท์แล้วเราจะสามารถบอกได้เลยว่าหน้าตาแบบนี้เป็น เม้าท์อะไร ขึ้นอยู่กับประสบการณ์น่ะครับ แต่ถ้าเราไม่เคยใช้เมื่อเห็นเราจะไม่สามารถบอกได้เลยว่านี่มันเป็นเม้าท์ อะไร ซึ่งเราจะไม่กล่าวทั้งหมดเพราะว่าเม้าท์มันเยอะมากๆ

 รูปตัวอย่าง Adapter M42 to EOS AF Confirm


 ประเทศ ที่ผลิตเลนส์มือหมุนที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้และได้รับความนิยมมีอยู่ ด้วยกัน 3 ประเทศ คือ ประเทศเยอรมัน , สหภาพโซเวียต และ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละประเทศก็จะผลิตเลนส์ที่มีคุณลักษณะ ,คุณสมบัติ และ จุดเด่นของเลนส์ต่างกัน 

            เยอรมัน (Germany) เลนส์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ เลนส์คาร์ลไซส์ (Carl Zeiss Lens),เลนส์ไลก้า (Leica Lens),เลนส์ชไน เดอร์ (schneider) , เลนส์เมเยอร์ ออฟติก (meyer optik Lens) และ เลนส์เพนทาคอน (Pentacon Lems) เลนส์ที่ได้รับความนิยมในบ้านเรา ได้แก่ เลนส์ คาร์ลไซส์ ไบโอต้าร์ (Carl Zeiss Biotar)  58mm. F2 แต่ว่าราคาค่อนข้างจะแพงครับ ราคาประมาณ 5,000 บาท ขึ้นไปครับ แต่ตัวนี้เป็นที่นิยมของชาวมือหมุนมากๆครับเลยทำให้หาสภาพดีๆค่อนข้างยาก และก็ยังเป็นต้นแบบของ Helios 44-2 55mm. F2 เลนส์ของโซเวียตอีกด้วย ส่วนเลนส์เมเยอร์ ออฟติก (meyer optik Lens) ก็จะมีโบเก้เป็นเอกลักษณ์ ของตัวเอง ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมชอบมาก แต่เลนส์ที่ชาวมือหมุนที่ไม่ต้องการซื้อเลนส์เยอรมันที่มีราคาแพงมากหรือชอบ ในความใหม่ของสภาพตัวเลนส์ ต้อง เลนส์เพนทาคอน (Pentacon Lems) เลยครับ หาซื้อได้ไม่ยาก ราคาค่อนข้างถูก สภาพสวยๆ

           สหภาพโซเวียต (USSR) เลนส์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ เลนส์แฮลิออส (Helios Lens),เลนส์จูปีเตอร์ (Jupiter Lens),เลนส์ อินดัสสตาร์ (Industar Lens),เลนส์ซินิต้าร์ (Zinitar Lens) และอื่นๆ เลนส์ที่ได้รับความนิยมในบ้านเรา ได้แก่ เลนส์แฮลิออส (Helios Lens) Helios 44-2 58mm. F2 ซึ่งราคาถูกหาซื้อได้ง่าย และ โบเก้ที่เป็นเอกลักษณ์ ของเลนส์ยี่ห้อนี้ก็คือโบเก้หมุน มองดูแปลกตา ซึ่งเปรียบเทียบกับราคาแล้วถือว่าคุ้มมากๆ ตัวนี้เป็นตัวที่ผมชอบอีกตัวหนึ่งต้องติดกระเป๋าไว้ตลอดเลยครับ แต่ว่าจริงๆแล้ว ตัวที่สุดยอดของเลนส์ยี่ห้อนี้ไม่ใช่รุ่นนี้หรอกครับ ตัวที่สุดยอดและทุกคนที่รักการถ่ายภาพบุคคลแบบใช้เลนส์มือหมุน ถวิลหาและอยากได้มาอยู่ในครอบครองก็คือ Helios 40-2 85mm. F1.5 ภาพนี้ได้ สวยมากครับ โบเก้ วนมากถึงมากที่สุด ตัวนี้ผมก็อยากได้ที่สุด แต่ติดอยู่ที่ตรงราคานี่ซิครับ ตอนนี้ราคามันไปถึง 2 หมื่นกว่าแล้วครับถ้าสภาพดีๆ (ถ้าอยากชมภาพที่ได้จากเลนส์ตัวนี้ลอง Search ดูจาก Google ได้เลยครับ เพราะผมไม่มีภาพจากเลนส์ตัวนี้เพราะยังไม่เคยสัมผัสมันเช่นกัน) 


เลนส์ Helios 44-2 58mm.F2 Made in USSR


            นอกจากเลนส์ Helios แล้ว ก็ยังมีเลนส์อีกยี่ห้อหนึ่งของสหภาพโซเวียตที่ได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่า Helios 44-2 58mm.F2 ก็คือเลนส์  Industar Lens ซึ่งให้โบเก้ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง โดยเลนส์ Industar รุ่น 61L/Z 50mm. F2.8 จะมีใบเบลดเป็นรูปดาว เมื่อปรับค่า F ไปที่ 5.6 -8 จึงทำให้ได้โบเก้ที่เป็นรูปดาวอย่าเห็นได้ชัดอีกด้วย และยิ่งกว่านั้นยังได้มาโคร 1:3 จากเลนส์ตัวนี้มาอีกด้วย เมื่อเทียบกับราคา 3,500-4,000 บาทแล้ว ถือว่าคุ้มครับเลนส์ตัวนี้   (ถ้าจะให้ได้มาโคร 1:1 ก็ใช้ท่อมาโครต่อได้เลยครับ)

เลนส์ Industar  61L/Z 50mm. F2.8

ท่อมาโคร (Macro Tube)

 เมื่อปรับค่า F ประมาณ 5.6 - 8 รูปดาวจะชัดที่สุด

ภาพที่ได้จากเลนส์ Industar รุ่น 61L/Z 50mm. F2.8


        แต่ว่าข้อเสียของเลนส์จากสหภาพโซเวียตก็มีนะครับ คือมันจะมีคราบน้ำมันเลอะอยู่ตามใบเบลดแต่ไม่มีผลอะไรกับภาพนะครับ อืม... แต่ว่าไม่ทุกตัวนะครับ บางตัวน้ำมันก็แห้งแล้ว บางตัวก็ไม่มีคราบน้ำมันเลยสภาพสวยเชียว สรุปก็คือเลนส์จาก USSR เนี้ยมีโบเก้ที่แปลกๆ ทำให้คนที่ดูภาพแล้วแปลกตาดี ผมเคยเห็นโบเก้เป็นสี่เหลี่ยมด้วยนะครับแต่ไม่แน่ใจว่ามาจากเลนส์ตัวไหน น่าจะของ USSR สักตัวเนี้ยแหละ โบเก้แปลกตามันเป็นเสน่สห์ของเลนส์สหภาพโซเวียตเค้าแหละ

          ญี่ปุ่น (Japan) เลนส์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ เลนส์มามิย่า (Mamiya Lens),เลนส์ Asahi Super Takamar , Vivitar,Nikon,Revuenon,canon,Chinon และอีกเยอะมากครับ เลนส์ญี่ปุ่น เนี้ย จำกันไม่ไหวเลย แต่ที่โด่งดังที่สุดและมีราคาแพงที่สุดก็คือ เลนส์ที่ทำจากบริษัท Tomioka บางตัวราคาแพงกว่าเลนส์ Auto Focus ซะอีก เลนส์ญี่ปุ่นมีหลากหลายยี่ห้อให้เลือก หลายเกรด จึงทำให้หาง่ายและราคาไม่แพง เหมาะสำหรับคนที่งบน้อย อยากได้เลนส์หลายๆช่วง ช่วงของเลนส์มือหมุนส่วนมากที่เห็นกันบ่อยๆ ก็ คือ 28mm.,50mm.,135mm. และ 200mm.  ส่วนใหญ่ 28mm.และ 135mm. ค่าF กว้างสุดจะอยู่ที่ 2.8 แต่ระยะที่50mm. ค่า F จะเยอะกว่าครับเช่น 50mm.F2,50mm.F1.8,50mm.F1.4 หรือ 50mm. F1.2 เพราะระยะนี้คงเหมาะสำหรับถ่ายภาพบุคคล เลนส์ญี่ปุ่นนี้ก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเหมือนกันครับ คือ ความคมของภาพ ผมเคยได้ยินเค้าพูดกันมานานแล้วครับว่าเลนส์ญี่ปุ่นนั้นคมก็เลยต้องหาซื้อมา ลอง ผมเลยจัด Mamiya/Sekor 55mm. F1.4 มาครับ ลองแล้วติดใจกับความคมของมันจริงๆครับ สมกับที่เค้าเล่าลือกันจริงๆ

 เลนส์ Mamiya/sekor 55mm. F1.4

ภาพที่ได้จากเลนส์ Mamiya/Sekor 55mm. F1.4

โบเก้ที่ได้จากเลนส์ Mamiya/Sekor 55mm. F1.4

             จากความคมที่ได้ลอง ทำให้ผมอยากได้ช่วงอื่นๆอีก คราวนี้ตามหาช่วง 135mm. F2.8 ก็ได้มาครับ แต่ขอบอกกับผู้ที่นำมาใช้กล้อง Canon ก่อนนะครับว่า ถ้าเลนส์ Mamiya/Sekor 135 mm. F2.8 ที่ผมนำรูปมาลงให้ดูด้านล่างนี้สามารถใช้กับกล้อง Canon ได้ตามปกติ เมื่อใส่ Adapter M42 to eos แล้ว แต่ถ้า Mamiya/Sekor 135 mm. F2.8 ที่ตามด้วย SX (รู้สึกว่าตัวเลขจะเป็นสีเขียวๆ) ไม่สามารถนำมาใช้กับกล้อง Canon ได้นะครับเพราะว่า จะปรับค่า F ไม่ได้ ตัวปรับค่า F จะติดกับตัวกล้อง 

เลนส์ Mamiya/Sekor 135 mm. F2.8

เลนส์ Takumar 135mm. F2.5 Super Multi Coated

ภาพที่ได้จากเลนส์ Takumar 135mm. F2.5 Super Multi Coated

การ มีเลนส์ในช่วงเดียวกันหลายๆ ตัวก็ทำให้มีบางตัวหรือหลายตัวอยู่แต่ในกระเป๋ากล้องไม่ได้เอามาใช้ แต่ตอนนี้เลนส์ประจำตัวที่ผมติดกับกล้องไว้เสมอแล้วไม่เคยห่างเลยก็คือเลนส์ จากเมืองปลาดิบ Mamiya/Sekor 55mm. F1.4 นั่นเอง ไม่ทราบว่าเพราะอะไรเหมือนกันครับ ทำให้ ช่วงนี้ยี่ห้ออื่น หรือว่า ช่วงอื่นยี่ห้อนี้ นอนอยู่แต่ในกระเป๋าครับ   นี่ก็เป็นประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ของผมที่มีกับเลนส์มือหมุนครับอาจผิดบ้างถูกบ้างก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณมากครับ 
    ถ้าวันไหนว่างๆ ผมจะมาเล่าเรื่องบริษัทที่ผลิต Helios ให้ฟังครับ >> โปรดติดตามตอนต่อไป <<

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

วิธีการดูนาฬิกา Luminox ของแท้/ปลอม


วิธีการดูนาฬิกา Luminox  ของแท้/ปลอม

>>> คลิกเพื่อดู <<<

>>> คลิกเพื่อดู (เพิ่ม) <<< 

 
 
Luminox 3050

           ปัจจุบัน นาฬิกา LUMINOX ได้เป็นที่นิยมมากในเวลานี้ เนื่องด้วยคุณสมบัติ  วัสดุและคุณภาพ   จึงเป็นที่ยอมรับในการใช้งานของหน่วยงานในประเทศสหรัฐอเมริกาและที่อื่นๆ ทั่วโลก  รวมทั้งยังเป็นที่นิยมในกลุ่มพลเรือนทั่วไป จนกลายมาเป็นแฟชั่นของกลุ่มคนที่ชอบนาฬิกาสไตล์ทหารในปัจจุบัน  ซึ่งราคาถือว่ามีราคาสูงพอสมควร เนื่องจากผลิตในประเทศสวิท์เซอร์แลน ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นประเทศที่ผลิตนาฬิกาคุณภาพอันเลื่องชื่อของโลก  ซึ่งแต่ก่อน  ใครต้องการที่จะครอบครองก็ต้องหิ้วมาจากเมืองนอก  เนื่องจากยังไม่มีตัวแทนขายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยหรือที่มีก็มีน้อย มาก  บางคนก็ไม่รู้จะไปซื้อที่ไหน   จึงทำให้มีราคาสูง   แต่ปัจจุบันเริ่มมีผู้นำเข้ามาขายทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ  ราคาจึงแตกต่างกันไป จึงเกิดมีข้อสงสัยว่าของจริงหรือของปลอม  อะไรคือสิ่งสำคัญที่เราจะตัดสินใจเลือกซื้อ  นั่นคือเหตุผลอย่างแรกคงเป็นร้านที่เราเชื่อถือ น่าไว้ใจ  มีบริการหลังการขาย และมีการรับประกัน  บางคนเลือกซื้อที่ศูนย์จำหน่ายที่ขายอย่างเป็นทางการเพื่อความสบายใจต่อ ปัจจัยที่กล่าวมาซึ่งต้องแลกกับราคาที่สูง  ซึ่งแล้วแต่ละบุคคลที่จะพิจารณาตามกำลังทรัพย์   บางท่านซื้อจากร้านค้าทั่วไปซึ่งไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ  ราคาจึงถูกกว่า  แต่จะอย่างไรก็ตามถ้าคุณซื้อมาแล้วไม่ว่าจะจากที่ไหน   คุณจะรู้หรือไม่ว่านาฬิกาที่คุณใส่อยู่ มันคือ  "ของแท้"  หรือ "ของปลอม"   มีบางคนกล่าวว่า  "ถ้าไม่รู้จักของแท้  เราก็จะไม่รู้จักของปลอม"

Cr. Black Eagle

  

วิธีการดูรองเท้า Onitsuka Tiger ของแท้/ปลอม


วิธีการดูรองเท้า Onitsuka Tiger ของแท้/ปลอม

 >>> คลิกเพื่อดู <<<

 Cr. Nickytiger.com


        ในปัจจุบันรองเท้า Onitsuka Tiger ของปลอมนั้นได้มีการผลิตออกมาหลายรุ่นและหลายเกรดมาก ตั้งแต่รุ่นเบสิกอย่าง Mexico66 ไปจนถึงระดับ Hi-End อย่าง Nippon แต่ก็ยังไม่สามารถทำออกมาได้เหมือนกับของแท้ได้อย่าง 100% ส่วนการที่จะตอบได้อย่างชัดเจนว่าอันไหนแท้อันไหนปลอมนั้น คงต้องอาศัยการจับ และดูอย่างบ่อยๆ แต่ในเมื่อหากเป็นคู่แรก ก็คงจะตัดสินยาก แต่เชื่อเถอะครับว่าทุกคนที่มีคู่แรกก็ต้องผ่านความคิดและความสงสัยตรงจุด นี้กันมาแล้วทั้งนั้น บางคนอาจคิดว่าทุกคู่ที่มีตราปั๊มใต้พื้นรองเท้าเป็นของปลอม ?ความคิดนี้ก็ถูกนะครับถ้าหากในรุ่นที่มีตราปั๊มใต้พื้อนรองเท้านั้นเป็น รุ่น Mexico66 ฟันธงได้เลยครับว่าปลอม 100%แต่!!! ในรุ่น Mexico66 Lauta ของแท้นั้น ก็จะมีตราปั๊มใต้พื้นรองเท้าเช่นเดียวกันและใช่ว่า Mexico66 ทุกคู่ที่ไม่มีตราปั๊มใต้พื้นจะเป็นของแท้ทั้งหมดนะครับเพราะอย่างที่บอกว่า ของปลอมมีการทำออกมาหลายเกรด ดังนั้นก็มีเกรดที่ Mexico66ไม่มีตราปั๊มใต้พื้นรองเช่นเดียวกัน การจะตัดสินได้มันยังต้องอาศัยรายละเอียดอีกมากมายยกตัวอย่างเช่น หนังที่ใช้ทำรองเท้า ลักษณะหัวรองเท้า ลักษณะลายคาด กากบาท สีรองเท้าลิ้นรองเท้า พื้นรองเท้า ฯลฯ ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะอย่างที่บอกว่าครับว่าในปัจจุบันของปลอมได้ทำออกมาหลาย เกรดมาก ''ฉะนั้น ผมขอตอบว่าการที่จะดูและตอบได้อย่างชัดเจนว่าคู่ไหนเป็นของแท้ คู่ไหนเป็นของปลอมนั้น คงต้องแยกดูเป็นแต่ละรุ่น และแต่ละสีออกไปครับ เพราะอย่างที่บอกว่า รายละเอียดมันค่อนข้างเยอะ''

 Onitsuka Tiger Nippon made japan

         ผมขออนุญาติแนะนำวิธีการเบื้องต้นง่ายๆในการป้องกันเบื้องต้นเพื่อมิให้ท่าน ถูกหลอกไปซื้อของปลอมในราคาเทียบเท่าของแท้ว่า ถ้าท่านรู้แล้วว่าท่านชอบสีไหน รุ่นอะไรท่านอาจไปลองหยิบๆจับๆที่ shop ดู แล้วเก็บรายละเอียดไปเทียบกับร้านที่ท่านจะไปซื้อว่ารายละเอียดมันตรงกัน หรือไม่ประการใด แต่วิธีการนั้นมันอาจจะยุ่งยากไปสักหน่อยดังนั้นผมขอแนะนำอีกวิธีคือว่า ควรซื้อกับผู้ขายที่ท่านคิดว่าไว้ใด้ เพราะนอกจากจะได้ของที่ถูกใจ ราคาถูกกว่าใน shop ท่านยังได้แลกความคิดเห็นซึ่งกันและกัน สามารถสอบถามในจุดที่ท่านสงสัย และได้แลกเปลี่ยนมิตรภาพซึ่งกันและกันอีกด้วยครับ

 Onitsuka Tiger Mexico 66 Le Vintage 

         ^^โดย ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าซื้อของแท้คุ้มค่ากว่าซื้อของปลอมแน่นอนครับไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง ของการใช้งาน ความสบายในการสวมใส่ รวมไปถึงในเรื่องของราคาขายต่อสมมุติง่ายๆ ท่านซื้อของแท้มาในราคา 4 พันบาท ใส่ไปสักสิบ ยี่สิบครั้งแล้วเบื่อ อยากขายต่อท่านยังสามารถขายต่อได้ในราคา 2500 บาทขึ้นไป ฉพนั้นเท่ากับว่าท่านซื้อของแท้มาใส่ในราคาเพียง 1500 บาทเท่านั้น ของแท้ยังไงก็ยังสามารถขายต่อได้ง่าย เพราะของแท้ไม่ว่าจะ5 ปี 10 ปีก็ยังคงคุณค่าความเป็นของแท้อยู่ครับ ^^
Cr. Phone : 089-0560058 [พาย]
Line ID : TigerTownShop
E-mail : thetigertown@hotmail.com
Facebook : www.facebook.com/tigertownshop
ขออนุญาติ เอาข้อความของคุณ พาย มาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อ คนรักเสือ ทุกท่านนะครับ ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

ท่องเที่ยวทั่วไทย

   
 ภูทับเบิก  จ.เพชรบูรณ์ 

แม่สอด จ.ตาก

วัดใหญ่ชัยมงคล จ.อยุธยา

วัดม่วง จ.อ่างทอง

 วัดโพธิ์ จ.กรุงเทพมหานคร


อ่างศิลา จ.ชลบุรี

เกาะเสม็ด จ.ระยอง

เกาะช้าง จ.ตราด

ฟาร์มโชคชัย จ.สระบุรี

วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร จ.กรุงเทพมหานคร

วัดเขาน้อย จ.น่าน

เชียงคาน จ.เลย

เพลินวาน จ.ประจวบคีรีขันธ์

 เกาะเต่าจ.สุราษฎร์ธานี


พระราชวังมฤคทายวัน จ.เพชรบุรี

วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร จ.กรุงเทพมหานคร


วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม จ.กรุงเทพมหานคร

พระราชวังบางประอิน จ.พระนครศรีอยุธยา

 น้ำตกต้นน้ำ จ.นครนายก