Puinoon Trip Blogger

สวัสดีครับทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชม Blog ของผม ก่อนอื่นผมต้องขอบอกก่อนเลยนะครับว่า จุดประสงค์ที่จัดทำ Blog นี้ขึ้นมานี้ก็เพื่อที่จะจัดเก็บและรวบรวมสิ่งต่างๆ ที่ตัวผมเองนั้นชื่นชอบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยว การถ่ายรูป การแต่งภาพ การเล่นกีต้าร์ การทำอาหาร และสิ่งต่างๆอีกมากมาย หวังว่าจะเป็นประโยชน์ กับ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หรือบุคคลทั่วไปที่สนใจและชื่นชอบในสิ่งเดียวกับที่ผมชอบ ไม่มากก็น้อย ผมหวังว่า Blog นี้ จำทำให้หลายๆคน ได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์และความรู้ไม่มากก็น้อย ผมจะพยายามหาสิ่งที่มีประโยชน์และความรู้มาให้ชมกันอีกนะครับ ขอบคุณมากครับ ..... >>>ปุยนุ่น<<<


แนะนำร้านอาหาร

ร้านมุมสบาย (พี่ยุ) กาแฟสด 

สถาบันประสาท 



   สถานที่ตั้งร้าน : ร้านอยู่ที่สถาบันประสาท บริเวณทางเชื่อมระหว่างประตูสถาบันประสาทกับสถาบันมะเร็ง



บริเวณหน้าร้าน 


พี่ยุและบรรยากาศร้าน

ร้านเปิดให้บริการ วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม 2557 ครับ



--------------------------------------------------------------------------------------------------




สวนอาหารพิกุล ขลุง จันทบุรี

สวนอาหาร พิกุล

   ร้านพิกุล เป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงเป็นลำดับต้นๆของ ขลุง จังหวัด จันทบุรีเลยก็ว่าได้นะครับ นักท่องเที่ยวที่ต้องการมาหาอาหารทะเลสดๆกิน ส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงร้านนี้ ร้านนี้ขายอาหารประเภทซีฟู๊ด บรรยากาศภายในร้านโปร่ง โล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก สะอาด ด้านข้างเป็นป่าโกงกาง ธรรมชาติมากๆครับ โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะไม้สวยแข็งแรง อาหารที่สั่งได้เร็ว ไม่ต้องรอนานที่สำคัญรสชาติอร่อยมากด้วยครับ ครั้งที่แล้วมากินที่ฟาร์มปูนิ่มเพราะอยากนั่งเรือออกไป เลยมองข้ามร้านนี้ไป คราวนี้ตั้งใจมากินร้านนี้โดยเฉพาะเลยครับ  ภาพบรรยากาศภายในร้านเหมาะสำหรับมากับครอบครัว จริงๆ ครับ คราวนี้เรามาดูอาหารกันบ้างครับ มาดูจานแรกกันเลยครับ ต้มยำกุ้งแชบ๊วย (น้ำข้น) รสชาติเผ็ดถึงรสต้มยำจริงๆ


บรรยากาศภายในร้าน

ต้มยำกุ้งแชบ๊วย(น้ำข้น)

  จากนั้นจานที่สองก็คือ พล่ากุ้ง (แบบสุก) ที่ร้านนี้มีพล่ากุ้งทั้งแบบสุกและดิบนะครับ ถ้าจะสั่งบอกพนักงานที่ร้านด้วย เมนูนี้ผมชอบมากเป็นพิเศษเพราะว่าเผ็ดและเปรี้ยวถึงใจจริงๆ ผักที่เสิร์ฟพร้อมพล่ากุ้งจะเป็นใจผักกาดขาวสดๆ  ที่สำคัญกุ้งยังสดอีกด้วย ไม่มีกลิ่น รสหวานทานง่าย เมนูนี้ผ่านครับ

พล่ากุ้ง

  มาดูจานที่สามกันเลยดีกว่า อาหารบ้านๆ แต่ว่ารสชาติและความกรอบไม่ธรรมดาครับ ไข่เจียวหอยนางรม ไข่เจียวหอยนางรมที่นี่ทอดได้กรอบ หอม มากๆครับ และหอยนางรมยังตัวใหญ่และสดอีกด้วย เมนูนี้ ยอมรับเลยครับว่าไม่ธรรมดา ถ้าไม่เชื่อลองสั่งดูได้เลยครับ สุดยอดจริงๆ ไข่เจียวเสิร์ฟพร้อม ซอสพริก เข้ากันจริงๆ กับข้าวร้อนๆสักจาน (ที่ร้านนี้ผมสังเกตดูนะครับ ข้าวหุงจากข้าวหอมมะลิ นิ่ม สวย หอม น่ากินจริงๆ)

ไข่เจียวหอยนางรม

   จานที่สี่ต่อไปเลยดีกว่า จานนี้พิเศษสุดๆ ถือว่าเป็นพระเอกของมื้อนี้เลยก็ว่าได้ครับ รสชาตินี่ถูกปากผมยิ่งนักเพราะว่าผมชอบหวานๆ เมนูนี้ก็คือ ปูทะเลไข่ผัดผงกระหรี่ นั่นเอง จานนี้อาจมีราคาค่าตัวค่อนข้างจะแพงไปสักนิดประมาณ 650 บาท แต่เมื่อเทียบกับราคาปูสดๆที่ขายในท้องตลาดแล้วก็ไม่แพงเลย เพราะว่า ใช้ปูทะเลไข่ประมาณ 2 ตัวต่อ 1 จาน แถมยังอร่อยมากที่สุดอีกด้วย มีความหอมของผงกระหรี่ ความหอมและมันของไข่ปู อีกทั้งยังมีต้นหอมเพิ่มความหอมอร่อยอีกด้วย จานนี้คงเป็นที่ชื่นชอบของคนหลายคนก็ว่าได้เพราะว่าจากการที่ผมเดินผ่านโต๊ะ อื่นๆ ก็มีเมนูนี้อยู่ด้วยหลายโต๊ะเช่นกัน ผมถือว่าจานนี้ผมชอบที่สุดในมื้อนี้ก็ว่าได้  สามผ่านเลยครับ ..อิอิ

ปูทะเลไข่ผัดผงกระหรี่

   จานที่ห้า เมนูนี้หลายๆ คนที่ชอบกินปูแต่ไม่ชอบแกะต้องสั่งครับ เมนูนี้คือ กรรเชียงปูม้า   แต่ผมว่าเมนูนี้ก็คงไม่ต่างจากร้านอื่นๆครับ แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือน้ำจิ้ม ร้านนี้ไม่ได้ใช้น้ำจิ้มแบบขวดมาเทใส่ถ้วยให้เรากินนะครับ น้ำจิ้มปูร้านนี้ก็คือน้ำจิ้มซีฟู๊ด ธรรมดาที่ใส่ พริกขี้หนูสด กระเทียม มะนาว เกลือ แต่ที่สำคัญคือใช้มะนาวแท้ๆ ครับ (ผมคิดว่าร้านนี้ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆดีครับ แม้กระทั่งน้ำจิ้มซีฟู๊ด หรือ น้ำปลาพริก ดูสดใหม่ สะอาด)

กรรเชียงปูม้า

   จานต่อไปกันเลยดีกว่าครับ เมนูนี้ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบแต่ว่าผมกินแบบทอดมาเมื่อวานแล้ว วันนี้เลยอยากกินแบบนึ่งบ้างครับ ปลากระพงนึ่งบ๊วย เมนูนี้ผมว่าไม่ค่อยมีรสบ๊วยเท่าไหร่นะครับ ผมรู้สึกเฉยๆ แต่มีดีอยู่ที่ว่า ปลากระพงที่เอามาทำนั้นสดจริงๆ เนื้อนิ่มมาก ที่สดจริงเพราะว่าเห็นพี่เค้าตักจากในบ่อหน้าร้านกันเห็นๆ ต่อหน้าต่อตาเลย คงบอกว่าสดอย่างเดียวไม่ได้แล้ว คงต้องบอกว่าปลาเป็นๆ(ถ้าใครที่ชอบกินปลานิ่มๆจืดๆไม่เผ็ดก็ต้องลองเมนูนี้ เลย)

ปลากระพงนึ่งบ๊วย

 
   จานสุดท้าย ว่ากันด้วยเรื่องของกุ้งอีกแล้วกัน แต่ว่าคราวนี้ไม่ใช่กุ้งแชบ๊วยแล้วนะครับ เป็นกุ้งกุลาดำตัวใหญ่ๆครับ    ตอนแรกคิดอยู่ตั้งนานไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับมันดี เลยเป็นเมนูสุดท้าย สรุปได้ว่าเป็น กุ้งกุลาดำอบเกลือครับ ตัวใหญ่ๆ เหนียวๆเคี้ยวมัน หนึบๆ เค็มนิดๆหอมใบโหระพา จานนี้ราคาพอประมาณครับ 450 บาท กุ้งประมาณ 6-8 ตัว สรุปว่าคุ้มราคาครับ

กุ้งกุลาดำอบเกลือ

  พอสรุปได้ว่าสวนอาหารพิกุล ขลุง นี้ โดยส่วนตัวรวมๆแล้ว อาหารรสชาติดีเลยทีเดียวครับ บรรยากาศใช้ได้พอประมาณ ไม่เสียที่เป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงมานาน ผมชอบมากครับไม่ผิดหวังกับการที่ได้มาร้านนี้เลย

  การเดินทาง : จากตัวเมืองจันทบุรีมุ่งหน้าไปทางขลุง ถนนสุขุมวิท เมื่อถึงแยกขลุงให้เลี้ยวขวาเข้าทางตลาดขลุง จากนั้นจะเป็นทางเล็กๆ  เข้าไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร หรือ ทางเดียวกับท่าเรือขลุง ที่จะนั่งเรือไปฟาร์มปูนิ่ม เมื่อเลี้ยวเข้าไปจะมีป้ายบอกว่า ร้านอาหารทะเล ก็ให้ไปตามป้ายเลย

จากตัว เมืองจันทบุรี มุ่งหน้ามาทางท่าเทียบเรือขลุง ตรงมาจะเจอร้านพิกุลโภชนาขลุง อยู่บริเวณท่าเทียบเรือขลุง - See more at: http://eat.edtguide.com/62193_Pikul-Phochana-%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B2-%E0%B8%82%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%87-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5-%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3#sthash.DHVVr3Cs.dpuf
จากตัว เมืองจันทบุรี มุ่งหน้ามาทางท่าเทียบเรือขลุง ตรงมาจะเจอร้านพิกุลโภชนาขลุง อยู่บริเวณท่าเทียบเรือขลุง - See more at: http://eat.edtguide.com/62193_Pikul-Phochana-%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B2-%E0%B8%82%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%87-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5-%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3#sthash.DHVVr3Cs.dpuf
รสชาติอาหาร  :  9.25/10
บรรยากาศร้านอาหาร  :  8.25/10
ราคาอาหาร  : 7.5/10
ราคาเมื่อเทียบกับคุณภาพ  :  8.5/10
ความสะอาดของอาหารและร้าน  :  8.5/10
การบริการของพนักงาน  :  9.25/10

--------------------------------------------------------------------------------------

ตลาดน้ำวัดตะเคียน

   วันนี้ผมจะพาเดินเล่นหาของอร่อยๆกินกันที่ตลาดน้ำ วัดตะเคียน นนทบุรี กันนะครับ มีอยู่วันหนึ่งผมได้ดูรายการตลาดสดสนามเป้าครับ พี่หนูแหม่ม เค้าพาไปชิมก๋วยเตี๋ยวเจ๊ดาที่วัดตะเคียน เห็นว่าอยู่แถวๆบ้านก็อยากไปลองชิมมาก ผ่านไป 1 อาทิตย์ก็ไปเลย แต่ว่าไม่ได้กินนะครับเพราะว่าเข้าไม่ถึง รถติดตั้งแต่ปากซอยวัด เพราะว่าคนดูรายการแล้วแห่มากินกัน (เหมือนผมเลย 55 ) หลังจากนั้นหลายเดือนค่อยไปใหม่ตอนนี้คนเริ่มน้อยแล้ว 


    ทางวัดมีลานจอดรถให้นะครับ สามารถจอดได้หลายคัน (ถ้าไปช่วงสายๆ จะจอดได้สบายเลย แต่ถ้าเที่ยงๆ คนเยอะมากครับหาที่จอดยาก) จากถนนเข้าซอยมาประมาณ 1 กิโลเมตรก็ถึงวัดแล้ว เดินเข้าวัดมาจะมีตลาดของชาวบ้านแถวนั้น ที่นำผักจากสวน หรือ ขนมไทยมาขาย ส่วนก๋วยเตี๋ยวเจ๊ดา จะอยู่ติดกับริมน้ำครับ แต่ก่อนถึงร้านเจ๊ดาจะมีร้านไส้กรอกอีสาน คิวยาว อยู่ร้านนี้อร่อยมากครับ คนเยอะมาก 
(ถ้าจะสั่งควรสั่งไว้ก่อนไปกินก๋วยเตี๋ยวครับเพราะว่าคิวยาวมากจริงๆ กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จค่อยออกมาเอา)


จริงๆนะครับถ้าไม่เชื่อไปตอนเที่ยงๆซิครับผมรอมาแล้วเหงื่อตกเลย


ขายดีมากเลยครับ เตาเยอะขนาดนี้ยังปิ้งไม่ค่อยทันเลย


ดูจากรูปก็น่ากินแล้วมีทั้งแบบเปรี้ยวและไม่เปรี้ยว แล้วแต่ชอบเลยครับ กับผักสดๆ อืม...

   เมื่อสั่งไส้กรอกเสร็จแล้ว ก็ไปกินก๋วยเตี๋ยวกันได้แล้วครับ เดินไปอีกนิดเดียวก็ถึงเลย ก๋วยเตี๋ยวเป็นแบบบริการตัวเองนะครับคือไปเขียนสั่งไว้แล้วก็รอเรียกจากนั้นไปรับก๋วยเตี๋ยวก็จ่ายเงินเลยครับ ท่านจะได้ก๋วยเตี๋ยวใส่ชามวางในถาด บรรยากาศแบบตอนไปทำบุญที่วัดเลยครับ ราคาชามละ 15 บาทเท่านั้นก๋วยเตี๋ยว มีทั้งน้ำตก น้ำใส ต้มยำ น้ำข้น 

ราคา 15 บาท แต่ใหญ่กว่าก๋วยเตี๋ยวเรืออนุสาวรีย์เยอะครับ


 ขายดีทำกันไม่ได้หยุดเลย แต่เงินเข้าวัดนะครับ


เจ๊ดาเจ้าของร้านสวยมั้ยครับ


ส่วนตัวผมชอบน้ำใสครับ ใส่กุ้งแห้งด้วยเหมือนก๋วยเตี๋ยวโบราณ 

    เมื่ออิ่มกันแล้วก็หาของหวานหรือของฝากตามริมน้ำได้เลยครับ จะมีเรือมาจอดขายอาหาร ขนม และอื่นๆ อยู่หลายร้ายครับ 



ขนมเบื้องญวน หรือผักผลไม้จากสวนชาวบ้าน


หมูปิ้ง ก็น่าลองนะครับ 55

   เมื่อเดินซื้อขนม ของกินเล่น ของฝากกันเสร็จแล้ว อย่าลืมไปเอาไส้กรอก ที่สั่งกันไว้นะครับ แค่นี้ก็ได้อิ่มท้องแถมสบายกระเป๋ากันอีกด้วย เพราะว่าของที่นี่ไม่แพงเหมือนตลาดน้ำดอนหวายนะครับ ชาวบ้านขายกันจริงๆ ผลไม้ , ผักที่ได้จะเก็บมาจากสวนเพราะแถวนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นสวนอยู่ครับ 

การเดินทาง

   การเดินทาง ถ้ามาจากแคราย ให้ตรงมาที่ถนนนครอินทร์  ( ข้ามสะพานพระราม 5 )   มาฝั่งบางกรวยแล้วตรงตลอดเลยครับ จากนั้นวิ่งข้ามสะพานวงเวียนพระราม 5 ตรงไปสุดถนนชิดซ้าย กลับรถใต้สะพาน กลับรถแล้วตรงมาอีกประมาณ 500 เมตร ด้านซ้ายจะเห็นป้ายวัดตะเคียน เข้าซอยไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตรครับ


---------------------------------------------------------------------------------------------------


ศุภชัย
ขนมจีบ - ซาลาเปา
เจ้าอร่อย

 ของอร่อยที่อยู่คู่ประดิพัทธ์มานานนับ 30 ปีก็คือ ซาลาเปาหลากหลายไส้และรสชาติของ “ร้านศุภชัย ซาลาเปาเจ้าอร่อย” ถือเป็นขวัญใจคนย่านนี้มาช้านาน ขนาดพี่อ้วนอรชร นักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์แนะนำของกินชื่อดังผู้ที่จากเราไปสวรรค์แล้ว ก็ยังเคยแวะเวียนมาชิมติดอกติดใจเป็นอย่างยิ่ง
     ซาลาเปาเจ้านี้มีต้นกำเนิดจากจังหวัดสิงห์บุรีเมื่อ พ.ศ. 2521  จากนั้นได้ย้ายมาที่กรุงเทพฯในปี 2526 ขายซาลาเปาอยู่หน้าร้านพงษ์ภูษา ต่อมาก็ย้ายไปอยู่ในซอย จนในที่สุดก็มาเปิดร้านอยู่ที่ริมถนนประดิพัทธ์ ปากซอยประดิพัทธ์ 8 เลยโรงแรมมิโด้มานิดเดียว ซึ่งบ้านในซอยประดิพัทธ์ 8 นั้นก็ยังเป็นแหล่งผลิตซาลาเปาส่งมาขายที่ร้านริมถนนใหญ่
     เจ้าของร้านรุ่นที่ 2 นั้นชื่อคุณหน่อย ธมลวรรณ มะลิเถา เล่าว่าคำว่าซาลาเปาเจ้าอร่อยนั้น ลูกค้าขาประจำเป็นคนตั้งให้เป็นสร้อยต่อท้ายชื่อร้าน ส่วนศุภชัยมาจากนามสกุลของบิดา ศรีสุขศุภชัยนั่นเอง
     ความอร่อยของซาลาเปาเจ้านี้ มีดีทั้งแป้งและไส้ คุณหน่อยบอกว่าสามารถชิมซาลาเปาที่ทิ้งไว้ให้เย็นแล้ว เพื่อที่จะได้รับรู้รสชาติความอร่อยของตัวแป้งที่ยังเหนียวแต่นุ่มนิ่มอร่อยเนียนลิ้น
     ส่วนไส้ของซาลาเปานั้น สิ่งที่ผมชอบมากก็คือมีรสชาติแบบโบราณ ที่ไม่ได้หวานมากจนเกินไปเหมือนซาลาเปาทั่วไปสมัยนี้ ชิมซาลาเปาศุภชัยยังรู้สึกได้ถึงรสชาติความอร่อยของวัตถุดิบต่างๆอย่างแท้จริง
     มีให้เลือกมากมายถึง 8 ไส้ ไส้ที่ผมชอบเป็นอันมากคือ ไส้หมูสับไข่เค็มกับไส้หมูสับไข่ต้ม ไส้หมูสับไข่เค็มจะใส่กุนเชียงเพิ่มความหวานหอมมันตัดกับรสชาติของไข่เค็ม ส่วนหมูสับไข่ต้มนั้น หมูสับหอมอร่อยเหมือนกินซาลาเปาสมัยเด็กๆ ที่ขอย้ำว่าไม่หวานมาก
     คุณหน่อยบอกว่าเคล็ดลับสำคัญอยู่ที่การคัดส่วนเนื้อหมูที่ดีที่สุดคือส่วนหัวสันของเนื้อสันในหมูเอามาบดเองที่ร้าน  ซึ่งเป็นส่วนที่นิ่มที่สุด ยอมจ่ายแพงกับเจ้าประจำเพื่อให้ได้วัตถุดิบเนื้อหมูส่วนนี้
     นอกจากนี้ยังมีไส้หมูแดงที่สับหมูค่อนข้างเป็นเนื้อละเอียด และไส้ครีมที่รสชาตินุ่มนวลและไม่หวานจนเลี่ยน
     ไส้ยอดฮิตติดอันดับที่กำลังมาแรงคือบรรดาไส้เจทั้งหลาย อีก 4 ไส้ ที่ผมชื่นชอบคือไส้ผักเห็ดหอมที่ทำจากผักถึง 8 ชนิด กับไส้หน่อไม้กรอบอร่อยกับเห็ดหอม ทำจากหน่อไม้สดที่นำมาต้มเอง นอกจากนี้ยังมีไส้ยอดนิยมตลอดกาลคือไส้ถั่วดำ ปิดท้ายด้วยไส้เผือกเนื้อเนียนกับแปะก๊วย
     ซาลาเปาศุภชัยมีสนนราคา   2 อย่างคือ ลูกละ 12 บาท มี 4 ไส้ ประกอบด้วย ไส้หมูแดง ไส้หมูสับไข่ต้ม ไส้ถั่วดำ และไส้ครีม และลูกละ 15 บาท มีไส้หมูสับไข่เค็ม ผักเห็ดหอม หน่อไม้เห็ดหอม และเผือกแปะก๊วย
     สนใจอยากชิมมาอุดหนุนได้ตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ทุกวัน ซึ่งวันอาทิตย์จะปิดเร็วหน่อยที่บ่าย 4 โมงเย็น อยากสั่งเป็นจำนวนมาก โทรสั่งล่วงหน้า 1 วันได้ที่เบอร์ 0-2278-3306 และ  0-2271-1230
- See more at: http://www.coolism.net/diversify/eatout/inkeat_detail.php/648/#sthash.PY9PUbUh.dpuf


 ของอร่อยที่อยู่คู่ประดิพัทธ์มานานนับ 30 ปีก็คือ ซาลาเปาหลากหลายไส้และรสชาติของ “ร้านศุภชัย ซาลาเปาเจ้าอร่อย” ถือเป็นขวัญใจคนย่านนี้มาช้านาน ขนาดพี่อ้วนอรชร นักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์แนะนำของกินชื่อดังผู้ที่จากเราไปสวรรค์แล้ว ก็ยังเคยแวะเวียนมาชิมติดอกติดใจเป็นอย่างยิ่ง
     ซาลาเปาเจ้านี้มีต้นกำเนิดจากจังหวัดสิงห์บุรีเมื่อ พ.ศ. 2521  จากนั้นได้ย้ายมาที่กรุงเทพฯในปี 2526 ขายซาลาเปาอยู่หน้าร้านพงษ์ภูษา ต่อมาก็ย้ายไปอยู่ในซอย จนในที่สุดก็มาเปิดร้านอยู่ที่ริมถนนประดิพัทธ์ ปากซอยประดิพัทธ์ 8 เลยโรงแรมมิโด้มานิดเดียว ซึ่งบ้านในซอยประดิพัทธ์ 8 นั้นก็ยังเป็นแหล่งผลิตซาลาเปาส่งมาขายที่ร้านริมถนนใหญ่
     เจ้าของร้านรุ่นที่ 2 นั้นชื่อคุณหน่อย ธมลวรรณ มะลิเถา เล่าว่าคำว่าซาลาเปาเจ้าอร่อยนั้น ลูกค้าขาประจำเป็นคนตั้งให้เป็นสร้อยต่อท้ายชื่อร้าน ส่วนศุภชัยมาจากนามสกุลของบิดา ศรีสุขศุภชัยนั่นเอง
     ความอร่อยของซาลาเปาเจ้านี้ มีดีทั้งแป้งและไส้ คุณหน่อยบอกว่าสามารถชิมซาลาเปาที่ทิ้งไว้ให้เย็นแล้ว เพื่อที่จะได้รับรู้รสชาติความอร่อยของตัวแป้งที่ยังเหนียวแต่นุ่มนิ่มอร่อยเนียนลิ้น
     ส่วนไส้ของซาลาเปานั้น สิ่งที่ผมชอบมากก็คือมีรสชาติแบบโบราณ ที่ไม่ได้หวานมากจนเกินไปเหมือนซาลาเปาทั่วไปสมัยนี้ ชิมซาลาเปาศุภชัยยังรู้สึกได้ถึงรสชาติความอร่อยของวัตถุดิบต่างๆอย่างแท้จริง
     มีให้เลือกมากมายถึง 8 ไส้ ไส้ที่ผมชอบเป็นอันมากคือ ไส้หมูสับไข่เค็มกับไส้หมูสับไข่ต้ม ไส้หมูสับไข่เค็มจะใส่กุนเชียงเพิ่มความหวานหอมมันตัดกับรสชาติของไข่เค็ม ส่วนหมูสับไข่ต้มนั้น หมูสับหอมอร่อยเหมือนกินซาลาเปาสมัยเด็กๆ ที่ขอย้ำว่าไม่หวานมาก
     คุณหน่อยบอกว่าเคล็ดลับสำคัญอยู่ที่การคัดส่วนเนื้อหมูที่ดีที่สุดคือส่วนหัวสันของเนื้อสันในหมูเอามาบดเองที่ร้าน  ซึ่งเป็นส่วนที่นิ่มที่สุด ยอมจ่ายแพงกับเจ้าประจำเพื่อให้ได้วัตถุดิบเนื้อหมูส่วนนี้
     นอกจากนี้ยังมีไส้หมูแดงที่สับหมูค่อนข้างเป็นเนื้อละเอียด และไส้ครีมที่รสชาตินุ่มนวลและไม่หวานจนเลี่ยน
     ไส้ยอดฮิตติดอันดับที่กำลังมาแรงคือบรรดาไส้เจทั้งหลาย อีก 4 ไส้ ที่ผมชื่นชอบคือไส้ผักเห็ดหอมที่ทำจากผักถึง 8 ชนิด กับไส้หน่อไม้กรอบอร่อยกับเห็ดหอม ทำจากหน่อไม้สดที่นำมาต้มเอง นอกจากนี้ยังมีไส้ยอดนิยมตลอดกาลคือไส้ถั่วดำ ปิดท้ายด้วยไส้เผือกเนื้อเนียนกับแปะก๊วย
     ซาลาเปาศุภชัยมีสนนราคา   2 อย่างคือ ลูกละ 12 บาท มี 4 ไส้ ประกอบด้วย ไส้หมูแดง ไส้หมูสับไข่ต้ม ไส้ถั่วดำ และไส้ครีม และลูกละ 15 บาท มีไส้หมูสับไข่เค็ม ผักเห็ดหอม หน่อไม้เห็ดหอม และเผือกแปะก๊วย
     สนใจอยากชิมมาอุดหนุนได้ตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ทุกวัน ซึ่งวันอาทิตย์จะปิดเร็วหน่อยที่บ่าย 4 โมงเย็น อยากสั่งเป็นจำนวนมาก โทรสั่งล่วงหน้า 1 วันได้ที่เบอร์ 0-2278-3306 และ  0-2271-1230
- See more at: http://www.coolism.net/diversify/eatout/inkeat_detail.php/648/#sthash.PY9PUbUh.dpuf
 ของอร่อยที่อยู่คู่ประดิพัทธ์มานานนับ 30 ปีก็คือ ซาลาเปาหลากหลายไส้และรสชาติของ “ร้านศุภชัย ซาลาเปาเจ้าอร่อย” ถือเป็นขวัญใจคนย่านนี้มาช้านาน ขนาดพี่อ้วนอรชร นักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์แนะนำของกินชื่อดังผู้ที่จากเราไปสวรรค์แล้ว ก็ยังเคยแวะเวียนมาชิมติดอกติดใจเป็นอย่างยิ่ง
     ซาลาเปาเจ้านี้มีต้นกำเนิดจากจังหวัดสิงห์บุรีเมื่อ พ.ศ. 2521  จากนั้นได้ย้ายมาที่กรุงเทพฯในปี 2526 ขายซาลาเปาอยู่หน้าร้านพงษ์ภูษา ต่อมาก็ย้ายไปอยู่ในซอย จนในที่สุดก็มาเปิดร้านอยู่ที่ริมถนนประดิพัทธ์ ปากซอยประดิพัทธ์ 8 เลยโรงแรมมิโด้มานิดเดียว ซึ่งบ้านในซอยประดิพัทธ์ 8 นั้นก็ยังเป็นแหล่งผลิตซาลาเปาส่งมาขายที่ร้านริมถนนใหญ่
     เจ้าของร้านรุ่นที่ 2 นั้นชื่อคุณหน่อย ธมลวรรณ มะลิเถา เล่าว่าคำว่าซาลาเปาเจ้าอร่อยนั้น ลูกค้าขาประจำเป็นคนตั้งให้เป็นสร้อยต่อท้ายชื่อร้าน ส่วนศุภชัยมาจากนามสกุลของบิดา ศรีสุขศุภชัยนั่นเอง
     ความอร่อยของซาลาเปาเจ้านี้ มีดีทั้งแป้งและไส้ คุณหน่อยบอกว่าสามารถชิมซาลาเปาที่ทิ้งไว้ให้เย็นแล้ว เพื่อที่จะได้รับรู้รสชาติความอร่อยของตัวแป้งที่ยังเหนียวแต่นุ่มนิ่มอร่อยเนียนลิ้น
     ส่วนไส้ของซาลาเปานั้น สิ่งที่ผมชอบมากก็คือมีรสชาติแบบโบราณ ที่ไม่ได้หวานมากจนเกินไปเหมือนซาลาเปาทั่วไปสมัยนี้ ชิมซาลาเปาศุภชัยยังรู้สึกได้ถึงรสชาติความอร่อยของวัตถุดิบต่างๆอย่างแท้จริง
     มีให้เลือกมากมายถึง 8 ไส้ ไส้ที่ผมชอบเป็นอันมากคือ ไส้หมูสับไข่เค็มกับไส้หมูสับไข่ต้ม ไส้หมูสับไข่เค็มจะใส่กุนเชียงเพิ่มความหวานหอมมันตัดกับรสชาติของไข่เค็ม ส่วนหมูสับไข่ต้มนั้น หมูสับหอมอร่อยเหมือนกินซาลาเปาสมัยเด็กๆ ที่ขอย้ำว่าไม่หวานมาก
     คุณหน่อยบอกว่าเคล็ดลับสำคัญอยู่ที่การคัดส่วนเนื้อหมูที่ดีที่สุดคือส่วนหัวสันของเนื้อสันในหมูเอามาบดเองที่ร้าน  ซึ่งเป็นส่วนที่นิ่มที่สุด ยอมจ่ายแพงกับเจ้าประจำเพื่อให้ได้วัตถุดิบเนื้อหมูส่วนนี้
     นอกจากนี้ยังมีไส้หมูแดงที่สับหมูค่อนข้างเป็นเนื้อละเอียด และไส้ครีมที่รสชาตินุ่มนวลและไม่หวานจนเลี่ยน
     ไส้ยอดฮิตติดอันดับที่กำลังมาแรงคือบรรดาไส้เจทั้งหลาย อีก 4 ไส้ ที่ผมชื่นชอบคือไส้ผักเห็ดหอมที่ทำจากผักถึง 8 ชนิด กับไส้หน่อไม้กรอบอร่อยกับเห็ดหอม ทำจากหน่อไม้สดที่นำมาต้มเอง นอกจากนี้ยังมีไส้ยอดนิยมตลอดกาลคือไส้ถั่วดำ ปิดท้ายด้วยไส้เผือกเนื้อเนียนกับแปะก๊วย
     ซาลาเปาศุภชัยมีสนนราคา   2 อย่างคือ ลูกละ 12 บาท มี 4 ไส้ ประกอบด้วย ไส้หมูแดง ไส้หมูสับไข่ต้ม ไส้ถั่วดำ และไส้ครีม และลูกละ 15 บาท มีไส้หมูสับไข่เค็ม ผักเห็ดหอม หน่อไม้เห็ดหอม และเผือกแปะก๊วย
     สนใจอยากชิมมาอุดหนุนได้ตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ทุกวัน ซึ่งวันอาทิตย์จะปิดเร็วหน่อยที่บ่าย 4 โมงเย็น อยากสั่งเป็นจำนวนมาก โทรสั่งล่วงหน้า 1 วันได้ที่เบอร์ 0-2278-3306 และ  0-2271-1230
- See more at: http://www.coolism.net/diversify/eatout/inkeat_detail.php/648/#sthash.PY9PUbUh.dpuf
              ของอร่อยที่อยู่คู่ประดิพัทธ์มานานนับ 30 ปีก็คือ ซาลาเปาหลากหลายไส้และรสชาติของ “ร้านศุภชัย ซาลาเปาเจ้าอร่อย” ถือเป็นขวัญใจคนย่านนี้มาช้านาน ขนาดพี่อ้วนอรชร นักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์แนะนำของกินชื่อดังผู้ที่จากเราไปสวรรค์แล้ว ก็ยังเคยแวะเวียนมาชิมติดอกติดใจเป็นอย่างยิ่ง
ซาลาเปาเจ้านี้มีต้นกำเนิดจากจังหวัดสิงห์บุรีเมื่อ พ.ศ. 2521  จากนั้นได้ย้ายมาที่กรุงเทพฯในปี 2526 ขายซาลาเปาอยู่หน้าร้านพงษ์ภูษา ต่อมาก็ย้ายไปอยู่ในซอย จนในที่สุดก็มาเปิดร้านอยู่ที่ริมถนนประดิพัทธ์ ปากซอยประดิพัทธ์ 8 เลยโรงแรมมิโด้มานิดเดียว ซึ่งบ้านในซอยประดิพัทธ์ 8 นั้นก็ยังเป็นแหล่งผลิตซาลาเปาส่งมาขายที่ร้านริมถนนใหญ่
           เจ้าของร้านรุ่นที่ 2 นั้นชื่อคุณหน่อย ธมลวรรณ มะลิเถา เล่าว่าคำว่าซาลาเปาเจ้าอร่อยนั้น ลูกค้าขาประจำเป็นคนตั้งให้เป็นสร้อยต่อท้ายชื่อร้าน ส่วนศุภชัยมาจากนามสกุลของบิดา ศรีสุขศุภชัยนั่นเอง







  ความอร่อยของซาลาเปาเจ้านี้ มีดีทั้งแป้งและไส้ คุณหน่อยบอกว่าสามารถชิมซาลาเปาที่ทิ้งไว้ให้เย็นแล้ว เพื่อที่จะได้รับรู้รสชาติความอร่อยของตัวแป้งที่ยังเหนียวแต่นุ่มนิ่มอร่อยเนียนลิ้น
        ส่วนไส้ของซาลาเปานั้น สิ่งที่ผมชอบมากก็คือมีรสชาติแบบโบราณ ที่ไม่ได้หวานมากจนเกินไปเหมือนซาลาเปาทั่วไปสมัยนี้ ชิมซาลาเปาศุภชัยยังรู้สึกได้ถึงรสชาติความอร่อยของวัตถุดิบต่างๆอย่างแท้จริง






   มีให้เลือกมากมายถึง 8 ไส้ ไส้ที่ผมชอบเป็นอันมากคือ ไส้หมูสับไข่เค็มกับไส้หมูสับไข่ต้ม ไส้หมูสับไข่เค็มจะใส่กุนเชียงเพิ่มความหวานหอมมันตัดกับรสชาติของไข่เค็ม ส่วนหมูสับไข่ต้มนั้น หมูสับหอมอร่อยเหมือนกินซาลาเปาสมัยเด็กๆ ที่ขอย้ำว่าไม่หวานมาก
       คุณหน่อยบอกว่าเคล็ดลับสำคัญอยู่ที่การคัดส่วนเนื้อหมูที่ดีที่สุดคือส่วนหัวสันของเนื้อสันในหมูเอามาบดเองที่ร้าน  ซึ่งเป็นส่วนที่นิ่มที่สุด ยอมจ่ายแพงกับเจ้าประจำเพื่อให้ได้วัตถุดิบเนื้อหมูส่วนนี้
       นอกจากนี้ยังมีไส้หมูแดงที่สับหมูค่อนข้างเป็นเนื้อละเอียด และไส้ครีมที่รสชาตินุ่มนวลและไม่หวานจนเลี่ยน
 ไส้ยอดฮิตติดอันดับที่กำลังมาแรงคือบรรดาไส้เจทั้งหลาย อีก 4 ไส้ ที่ผมชื่นชอบคือไส้ผักเห็ดหอมที่ทำจากผักถึง 8 ชนิด กับไส้หน่อไม้กรอบอร่อยกับเห็ดหอม ทำจากหน่อไม้สดที่นำมาต้มเอง นอกจากนี้ยังมีไส้ยอดนิยมตลอดกาลคือไส้ถั่วดำ ปิดท้ายด้วยไส้เผือกเนื้อเนียนกับแปะก๊วย
     ซาลาเปาศุภชัยมีสนนราคา   2 อย่างคือ ลูกละ 12 บาท มี 4 ไส้ ประกอบด้วย ไส้หมูแดง ไส้หมูสับไข่ต้ม ไส้ถั่วดำ และไส้ครีม และลูกละ 15 บาท มีไส้หมูสับไข่เค็ม ผักเห็ดหอม หน่อไม้เห็ดหอม และเผือกแปะก๊วย



บริเวณหน้าร้าน

          นอกจากนี้ยังมีขนมจีบอีกด้วย กล่องละ 50 บาท มีจำนวน 10 ลูก ก็ลูกละ 5 บาทนั่นแหละครับ ราคาถูกกว่าร้านวราภรณ์





 สนใจอยากชิมมาอุดหนุนได้ตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ทุกวัน ซึ่งวันอาทิตย์จะปิดเร็วหน่อยที่บ่าย 4 โมงเย็น อยากสั่งเป็นจำนวนมาก โทรสั่งล่วงหน้า 1 วันได้ที่เบอร์ 0-2278-3306 และ  0-2271-1230

--------------------------------------------------------------------------------------------



 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น